
เมื่อไม่นานมานี้ทางวารสารบรรจุภัณฑ์ไทยมีโอกาสได้พูดคุยกับ กองทอง หอมสุวรรณ (จิ๊ฟ) ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ eProductivity Software (ePS) เกี่ยวกับเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ และได้แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคตดังนี้

ความท้าทายหลักของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในปัจจุบัน
การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และความยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าของธุรกิจทุกคนใส่ใจ วิธีลดของเสียก็เป็นหัวข้อสำคัญอย่างหนึ่งที่โรงงานต้องคำนึงถึงเพื่อให้ได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม แบรนด์ใหญ่ ๆ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ต้องการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาใส่ใจต่ออนาคตของโลก อีกด้านหนึ่งที่เติบโตขึ้นคือความสามารถทางเทคนิคในการติดตามวัสดุตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง โดยเฉพาะในภาคอาหารและเภสัชกรรม ปัญหาเหล่านี้กำลังเป็นที่สนใจมากขึ้นทุกวัน
เมื่อมองดูตลาด MIS, ERP และซอฟต์แวร์เวิร์กโฟลว์ มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ตลาดของ ePS Radius และ Packaging Suite มีลักษณะเป็นวัฏจักร ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจเริ่มเปลี่ยนจากการใช้ผู้ให้บริการเพียงรายเดียวมาสำรวจผลิตภัณฑ์จากหลายผู้ให้บริการ (Best-of-Breed) ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและความสามารถในการรวมระบบ เรามั่นใจว่า ePS’s Packaging Suite และส่วนประกอบต่าง ๆ ของเราเป็นโซลูชันที่ยอดเยี่ยม สามารถเสริมเข้ากับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ ePS และแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามได้ง่าย
เราใส่ใจในความต้องการของลูกค้าที่พัฒนาเร็วและเพิ่มขึ้นตลอดเวลา รวมถึงการทำงานอัตโนมัติและการใช้ AI เพื่อช่วยในการตัดสินใจ นอกจากนี้ ภายหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ความต้องการการเข้าถึงระบบจากระยะไกลและการมองเห็นการดำเนินงานแบบเรียลไทม์ก็เพิ่มขึ้น
จุดสำคัญที่พิจารณาเมื่อสร้างเทคโนโลยีใหม่
การทำงานแบบอัตโนมัติและการใช้ AI เป็นสิ่งที่เรามุ่งเน้นพัฒนา พร้อมกับการสร้างโซลูชันที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นเพื่อให้รวมเข้ากับระบบอื่น ๆ ได้ ที่ ePS เรามุ่งสร้างโซลูชันที่ลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การประมาณการและเสนอราคาที่ทำงานอัตโนมัติ การทำงานอัตโนมัติที่ใช้กฎปรับได้จะจัดการงานต่าง ๆ ในเบื้องหลัง ส่งผลลัพธ์เปรียบเทียบและปรับให้เหมาะสมภายในไม่กี่วินาที ทำให้เราสามารถมุ่งมั่นในการบริการลูกค้าที่ดีขึ้น อีกด้านที่เราพิจารณาคือ การผสานเครื่องพิมพ์ดิจิทัลเข้ากับเวิร์กโฟลว์และรวบรวมข้อมูลประสิทธิภาพเพื่อแปลงเป็นข้อมูลเชิงธุรกิจ การเก็บรวบรวมข้อมูลแบบเก่าทำให้เครื่องจักรสูญเสียประสิทธิภาพสูงถึง 70% เมื่อใช้กับเครื่องพิมพ์ดิจิทัล โดยปัจจุบันฯ เรามีเครื่องมือเก็บข้อมูลอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ที่ช่วยให้เครื่องจักรทำงานอย่างต่อเนื่อง ส่งข้อมูลกลับไปยังทีมที่เกี่ยวข้อง เช่น การวางแผนการผลิตและบริการลูกค้า ผลที่ได้คือธุรกิจมีความโปร่งใสและติดตามวัสดุและต้นทุนได้อย่างครบถ้วน

ความแตกต่างระหว่าง ERP สากลที่ทันสมัยที่สุดในตลาดกับ ERP ของทาง ePS Radius และ Packaging Suite
หลายปีที่ผ่านมา เราได้พัฒนาโมดูล Radius ERP และ ePS Packaging Suite เพื่อช่วยผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะ Radius เป็น ERP ที่ล้ำหน้าที่สุดในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ด้วยคุณสมบัติมากมายที่ไม่มีใน ERP สากลอื่น ๆ ทำให้เป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ Packaging Suite คือการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Radius โดยรวมแอปพลิเคชันเพิ่มมูลค่าทั้งหมดเข้าไปในระบบ ทำให้กลายเป็นศูนย์รวมที่จัดการทุกอย่างในธุรกิจและทำให้องค์กรเป็นองค์กรแห่งอนาคต
ความแข็งแกร่งของ Suite มาจากความร่วมมือที่ยาวนานกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ผู้ใช้ Radius และ ePS Packaging Suite มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเรา เราให้ความสำคัญกับคำขอและความต้องการของลูกค้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ่านการประชุมกลุ่มผู้ใช้และงาน ePS Connect ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราพัฒนาตามท้องตลาดอยู่เสมอ แม้ว่าโซลูชันอื่น ๆ จะมีความสามารถและฟังก์ชันที่ดี แต่ข้อได้เปรียบหลักของ ePS คือ Radius ที่ปรับให้เข้ากับความต้องการของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะ ด้วยโมดูลเพิ่มเติมเช่น BI ที่ดึงข้อมูลทั้งหมดจากระบบและชุดแดชบอร์ดที่ครอบคลุมตั้งแต่วันแรกของการติดตั้ง ธุรกิจของลูกค้าของเราจึงล้ำหน้าตั้งแต่เริ่มต้น
ePS สามารถช่วยผู้ที่ติดตั้ง ERP สากลได้หรือไม่
ชุดซอฟต์แวร์ของเราออกแบบมาในลักษณะโมดูลาร์ ซึ่งหมายความว่า โมดูลผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า (Value Added Product: VAP) ของเราสามารถรวมเข้ากับ ERP ใด ๆ และช่วยเพิ่มความสามารถได้ แม้ว่าการรวม VAPs กับ ePS Radius จะทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุด แต่โมดูลต่าง ๆ ยังสามารถทำงานร่วมกับโซลูชัน ERP สากลผ่านอินเทอร์เฟซมาตรฐานได้ และยังช่วยปรับปรุงฟังก์ชันการทำงานต่าง ๆ เช่น การประเมินราคา การวางแผนงาน การกำหนดตาราง และการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบอัตโนมัติ
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
ความสนใจล่าสุดของเราคือการเน้นพัฒนาการทำงานเป็นอัตโนมัติและการพัฒนาต่อเนื่องของโซลูชัน Suite Automator โดยเครื่องมือนี้สามารถทำให้เหตุการณ์ในระบบเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการกระทำตามที่กำหนด เช่น การสร้างกฎของ Automator เพื่อระบุลูกค้าและคำสั่งซื้อสินค้าเฉพาะหากมีคำสั่งซื้อเข้ามา ระบบจะตอบรับและแจ้งเตือนพนักงานขายและ CSR โดยอัตโนมัติ เพื่อเสริมงานเวิร์กโฟลว์และปรับปรุงข้อมูลในธุรกรรมเรียลไทม์

เรายังกำลังวางระบบการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เพื่อสำรวจและค้นหารูปแบบในธุรกิจอัตโนมัติ ซึ่งสามารถใช้ในการประเมินการตัดสินใจเรื่องราคาในอนาคต รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น การแปรผันของราคาตามฤดูกาลของวัสดุ และแนะนำการปรับราคาที่เหมาะสมตามภาพรวมของข้อมูล นอกจากนี้ ระบบยังช่วยในการตัดสินใจซื้อวัสดุในช่วงเวลาหรือปริมาณที่เหมาะสมเพื่อประหยัดต้นทุนการผลิตในระยะยาว การพัฒนาในบริบทนี้เป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นและท้าทาย
บทความของวารสารบรรจุภัณฑ์ไทยไม่ได้มีเพียงเท่านี้ พวกเรายังมีเรื่องราวที่น่าสนใจให้ติดตามในเล่มอีกเพียบ อ่านต่อกันได้ที่ >> E-BOOK #166