
สำหรับเจ้าของแบรนด์และผู้นำในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์แบบอ่อน เกิดแรงกดดันในการสร้างนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่เคยรุนแรงเท่านี้มาก่อน ทั้งข้อบังคับทางกฎหมาย ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการแข่งขันที่เข้มข้น ล้วนผลักดันให้เกิดการปรับตัวครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรม คำถามสำคัญคือ “เราจะบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมได้โดยไม่ลดทอนคุณภาพการพิมพ์และยังทำกำไรได้หรือไม่?” งานวิจัยล่าสุดยืนยันคำตอบว่า “ได้แน่นอน” และไม่เพียงแต่จะรักษาคุณภาพเท่านั้น แต่ยังบรรลุเป้าหมายสามด้านพร้อมกัน ทั้งด้านคุณภาพ ความยั่งยืน และผลกำไรทางธุรกิจ

แนวทางใหม่สำหรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์
ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนซึ่งส่งผลต่อทุกธุรกิจบรรจุภัณฑ์ โดยการมีกฎระเบียบด้านบรรจุภัณฑ์ และของเสียจากบรรจุภัณฑ์ของยุโรป(PPWR) กำลังเป็นผู้นำในการกำหนดเป้าหมายอันท้าทายในการลดขยะบรรจุภัณฑ์และกำหนดมาตรฐานรีไซเคิลที่เข้มงวด ขณะที่ในเอเชียมีแรงจูงใจทางการเงินเป็นปัจจัยสำคัญเช่น สิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ที่ได้เริ่มใช้ระบบ Extended Producer Responsibility (EPR) หรือหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต เพื่อผลักดันให้แบรนด์ต้องรับผิดชอบต่อของเสียจากบรรจุภัณฑ์ของตนเอง ค่าธรรมเนียม EPR ที่คำนวณตามผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทำให้ “ความยั่งยืน” ไม่ใช่เพียงทางเลือกเชิงจริยธรรมอีกต่อไป แต่กลายเป็น “ความจำเป็นทางการเงิน” โดยตรง ส่งผลให้เจ้าของแบรนด์มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนมาใช้วัสดุ โมโนแมททีเรียล (Mono-material) การเพิ่มสัดส่วน วัสดุรีไซเคิลหลังการบริโภค (PCR) และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ “น้ำหนักเบา” ยิ่งขึ้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การเปลี่ยนจากฟิล์มกราเวียร์หนา 25 ไมโครเมตร มาเป็นฟิล์มเฟล็กโซที่หนาเพียง 12 ไมโครเมตร สามารถลดการใช้วัสดุได้มากถึง 52% ซึ่งช่วยลดทั้งต้นทุนและค่าธรรมเนียม EPR ไปพร้อมกัน การปรับตัวเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการบริหารต้นทุนอย่างชาญฉลาด และสร้างความยั่งยืนให้กับกระบวนการผลิตในระยะยาว
เฟล็กโซ: เทคโนโลยีการพิมพ์ที่ตอบโจทย์ทั้ง “คุณภาพ ความยั่งยืน และการเติบโตทางธุรกิจ”
เมื่อผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ต้องรับมือกับวัสดุใหม่ที่บางลงและมีสัดส่วน PCR สูงขึ้น ความสม่ำเสมอของคุณภาพการพิมพ์จึงเป็นหัวใจสำคัญ วัสดุประเภทโมโนแมททีเรียลและฟิล์มที่บางกว่าส่งผลต่อความหนาแน่น ความเรียบ และแรงตึงผิว ซึ่งเป็นปัจจัยที่ท้าทายต่อการพิมพ์แบบกราเวียร์ เนื่องจากกระบอกพิมพ์โลหะที่แข็งไม่สามารถรับมือ กับพื้นผิวที่ไม่เรียบหรือมีสิ่งเจือปนได้ดีนัก

มีหลักฐานว่า การพิมพ์เฟล็กโซสามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้ดีกว่าด้วยเพลทโพลีเมอร์แบบยืดหยุ่นที่สามารถชดเชยความไม่เรียบของพื้นผิวได้ดีกว่า และเครื่องพิมพ์เฟล็กโซแบบ Central Impression (CI) ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับวัสดุที่บางโดยไม่เกิดการเปลี่ยนรูป ส่งผลให้ลดของเสีย ลดการหยุดเครื่อง และรักษาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น การพิมพ์เฟล็กโซยังใช้พลังงานน้อยกว่า และสามารถใช้หมึก สูตรน้ำหรือการล้างเพลทแบบไม่ใช้Solventได้ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
เทคโนโลยีใหม่ที่โดดเด่น
หนึ่งในนวัตกรรมที่น่าจับตาคือ เทคโนโลยีการผลิตเพลทเฟล็กโซ CDI Quartz XPS จาก Esko ที่มาพร้อม Quartz optics และ เทคโนโลยีscreening Q-Cell ที่ล้ำสมัย ซึ่งมอบความละเอียดภาพคมชัดยิ่งขึ้น ไล่โทนไฮไลต์ได้อย่างนุ่มนวล พร้อมงานพิมพ์โซลิดที่แน่นและเรียบเนียน เทคโนโลยีนี้ยังช่วยลดการใช้หมึกได้ถึง 20% ตัวอย่างอันโดดเด่นของการผสาน “คุณภาพ ความยั่งยืน และประสิทธิภาพทางธุรกิจ” เข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ
มุ่งสู่อนาคตแห่งบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน
เส้นทางสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และการพิมพ์เฟล็กโซคือเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทั้งในด้าน กฎระเบียบด้าน สิ่งแวดล้อม และคุณภาพผลิตภัณฑ์ ได้อย่างลงตัว นวัตกรรมในกระบวนการผลิตเพลทและเทคโนโลยีการพิมพ์ที่ทันสมัย ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมพร้อมส่งมอบบรรจุภัณฑ์คุณภาพสูงที่สร้างความแตกต่างในตลาด ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ทำให้ “เฟล็กโซ” กลายเป็นกระบวนการพิมพ์แบบดั้งเดิมที่กลับมาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเจ้าของแบรนด์







