วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 สมาคมบรรจุภัณฑ์ไทยจัดสัมมนารูปแบบออนไลน์ผ่าน Zoom Application เรื่อง Security Printing and Packaging: ป้องกันการปลอมแปลงสินค้าบนบรรจุภัณฑ์ ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ เทคโนโลยีฉลากอัจฉริยะ และระบบงานหลังพิมพ์ สำหรับงานพิมพ์บรรจุภัณฑ์ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงบนบรรจุภัณฑ์ เสริมสร้างความรู้ให้กับผู้ประกอบการในธุรกิจการพิมพ์ สามารถนำความรู้ไปใช้และให้บริการลูกค้าต่อไปได้
คฑาวุธ เอื้อจงประสิทธิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทย เคเค เทค จำกัด ผู้บรรยายในหัวข้อ เทคโนโลยีฉลากอัจฉริยะ กล่าวว่า นับตั้งแต่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และประเทศไทยได้มีการประกาศให้งดใช้เงินสด และแทนที่ด้วยการสแกนจ่ายผ่านระบบคิวอาร์โค้ดของธนาคาร ทำให้คนไทยคุ้นชินกับการซื้อสินค้าด้วยการสแกนตั้งแต่นั้นมา นอกจากนี้การซื้อสินค้าผ่านหน้าร้านแบบออนไซต์ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นการซื้อผ่านหน้าร้านแบบออนไลน์มากขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้การตรวจสอบสินค้าจะทำได้ก็ต่อเมื่อสินค้ามาถึงมือผู้บริโภคแล้วเท่านั้น ส่งผลให้เกิดการปลอมแปลงสินค้ามากขึ้นจากช่องโหว่งที่เกิดขึ้นนี้ ซึ่งมิจฉาชีพไม่ได้ปลอมแค่สินค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำฉลากของสินค้าปลอมขึ้นมาด้วย เพื่อให้เกิดความเสมือนจริงมากที่สุด
ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผู้ผลิตต้องหาทางรับมือแก้ไข ด้วยการพัฒนาฉลากที่มีอยู่ให้ปลอมแปลงได้ยากขึ้น และต้องทำให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้าที่ซื้อไปนั้นเป็นของจริง ซึ่งถือเป็นการเพิ่มหน้าที่และวัตถุประสงค์ของฉลาก ให้มีประโยชน์มากขึ้นจากเดิมที่ฉลากเคยถูกคิดค้นมาตั้งแต่แรก
ต้นกำเนิดของฉลาก
มนุษย์ได้คิดค้นสิ่งที่เรียกว่า ฉลาก และใช้มาอย่างยาวนาน โดยฉลากผลิตภัณฑ์แรกที่มีฉลากคือ ไวน์ โดยฉลากได้ติดอยู่บนไหบรรจุไวน์ เพื่อบอกข้อมูลว่าไวน์ไหนี้ถูกบรรจุตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ ซึ่งถูกค้นพบในบริเวณของประเทศฝรั่งเศส เวลาต่อมาในยุคสมัยอียิปต์ มีการค้นพบว่าชาวอียิปต์ได้เริ่มติดฉลากบนสินค้าเพื่อบอกข้อมูลแก่ลูกค้า ดังนั้นแล้ววัตถุประสงค์ของฉลากสินค้าคือ “การสื่อสาร” เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทราบถึงข้อมูลของสินค้า อาทิ วันที่ผลิต วันหมดอายุ ส่วนประกอบ สถานที่ผลิต และบริษัทผู้ผลิต เป็นต้น เรียกได้ว่าตั้งแต่มนุษย์มีภาษาใช้ ก็เริ่มมีการใส่ข้อมูลลงฉลากสินค้า ซึ่งในเวลาต่อมา ในหลายประเทศเริ่มออกกฎหมายให้ทุกผลิตภัณฑ์จำเป็นต้องมีฉลาก เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลของสินค้านั้นเพื่อความปลอดภัยต่อการใช้งาน เช่น ยา เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
ต่อมาในยุค 1970s มนุษย์ได้พัฒนาฉลากสินค้าให้มีความทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น คือ บาร์โค้ด โดยถือว่าเป็นฉลากอัจฉริยะตัวแรกของโลกที่มนุษย์ได้คิดค้นขึ้น และหลังจากนั้นฉลากสินค้าก็ได้มีการพัฒนาเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นด้านความสวยงาม เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้เกิดความสนใจในตัวสินค้า พัฒนาด้านความทนทาน เพื่อให้ยึดเกาะบนตัวผลิตภัณฑ์ได้ทุกสภาพผิว และสภาพอากาศ เพื่อให้ข้อมูลของสินค้าคงอยู่ชัดเจนครบถ้วนตลอดเวลา รวมไปถึงการพัฒนาให้ยากต่อการปลอมแปลง ฉลากจึงถูกพัฒนาให้มีความอัจฉริยะมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าสินค้าที่ซื้อไปเป็นของแท้ และให้ผู้ผลิตไม่โดนลอกเลียนสินค้า
ฉลากผลิตภัณฑ์ที่ได้ถูกพัฒนามาอย่างยาวนานนั้น นอกจากข้อดีที่กล่าวมาข้างต้น ข้อเสียเองก็มีเช่นกัน เนื่องจากข้อกฎหมายที่ว่าด้วยการบันทึกข้อมูลที่จำเป็นลงบนแผ่นฉลาก ยิ่งข้อมูลมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ต้องย่อขนาดตัวอักษรให้เล็กลงเท่านั้น เพื่อให้สามารถเขียนข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ทำให้ผู้ที่มีปัญหาด้านสายตาเกิดความลำบากให้การอ่านฉลากมากขึ้น ทำให้ คิวอาร์โค้ด (QR Coed) ได้ถูกสร้างขึ้นในเวลาต่อมา
โดย คิวอาร์โค้ด ที่ถูกพัฒนาขึ้นนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยยืนยันลูกค้าได้ว่าสินค้าเป็นของแท้ จากการสแกนที่คิวอาร์โค้ดเพื่อเข้าสู่เว็บไซต์ของผลิตภัณฑ์แล้ว ผู้ผลิตจะได้ยังข้อมูลจากลูกค้าจากการเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ได้จากการสแกนคิวอาร์โค้ดอีกด้วย ซึ่งข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาตัวสินค้าและฉลากต่อไป เรียกได้ว่าเป็นการสื่อสารสองทางระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ฉลากอัจฉริยะ อย่าง คิวอาร์โค้ด แม้ว่าจะปลอดภัย แต่ยังสามารถปลอมแปลงได้อยู่ ทำให้ฉลากอัจฉริยะยังคงต้องถูกพัฒนาต่อตามยุคสมัยให้ทันเทคโนโยลีที่ก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา เพื่อประโยชน์อันสูงสุดทั้งต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตต่อไป
What is Smart Label?
ฉลากอัจฉริยะ คือ ฉลากผลิตภัณฑ์ที่สามารถให้ข้อมูลของสินค้าได้อย่างครบถ้วน เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างผู้บริโภคและผู้ผลิตได้ 2 ทาง และเครื่องตรวจสอบสินค้าว่าเป็นของแท้หรือไม่ โดยผลิตภัณฑ์กลุ่มแรกที่มีการนำเอาฉลากอัจฉริยะมาใช้งาน คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อ จอห์นนี่ วอล์คเกอร์ โดยลูกค้าสามารถนำโทรศัพท์มือถือส่องไปที่ตัวฉลากของสินค้า แล้วฉลากอิเล็กทรอนิกส์จะโชว์ที่มือถือของลูกค้าทันที นอกจากนี้ ฉลากอัจฉริยะ ยังได้ถูกนำมาใช้งานโดยทั่วไปในชีวิตประจำวันของเราโดยที่เราไม่ทันได้สังเกต อาทิ บัตรพนักงาน บัตรรถไฟฟ้า และบัตรจอดรถ ซึ่งเป็นการทำงานด้วยชิปที่ฝังไว้ในบัตร และเมื่อนำบัตรไปแตะที่เครื่องอ่าน ประตูจึงจะเปิด
ส่วนฉลากอัจฉริยะในสินค้านั้น ต่างประเทศเองได้เริ่มนำเข้ามาใช้งานแล้วในกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม โดยจะฝังชิปไว้ที่ตัวสินค้าและเมื่อใช้โทรศัพท์มือถือแตะที่บริเวณฝังชิปก็สามารถดูได้ว่าสินค้าชิ้นนี้เป็นของแท้หรือไม่ ในประเทศไทยเองก็เริ่มนำฉลากอัจฉริยะมาใช้แล้วเช่นกัน เช่น ยูนิโคล ทำให้พนักงานไม่ต้องเสียเวลายิงบาร์โค้ด เพราะมีเครื่องอ่านข้อมูลจากชิปที่ติดกับตัวสินค้า โดยฉลากอัจฉริยะนี้มี 2 ประเภท ได้แก่ RFID และ NFC ซึ่ง NFC ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ RFID
ความแตกต่างของ NFC และ RFID
คุณสมบัติ | NFC (Near Field Communication) | RFID (Radio Frequency Identification) |
ระยะการอ่าน | ระยะสั้น ได้โดยประมาณ 2-10 เซนติเมตร | ระยะไกล ได้โดยประมาณหลายเมตร |
ความเร็วในการอ่านข้อมูล | 424 kbit/s | 106 kbit/s |
การใช้งาน | – การชำระเงินแบบไร้สัมผัส (เช่น Apple Pay, Android Pay, บัตรเครดิต) – ระบบขนส่งมวลชน (เช่น บัตรรถไฟฟ้า) – คีย์การ์ดประตู (เช่น ห้องพักโรงแรม, ประตูรถ) | – บัตรจอดรถ – ระบบรักษาความปลอดภัย – การจัดการสินค้าคงคลังและโลจิสติกส์ |
บุญชัย เลาหะธีระพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายขายอาวุโส บริษัท เคิร์ซ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บรรยายในหัวข้อ ระบบงานหลังพิมพ์ กล่าวว่า ในปัจจุบัน ปัญหาการปลอมแปลงสินค้าพบได้ทั่วทุกมุมโลก นอกจากตัวสินค้าจะโดนปลอมแล้วนั้น ตัวฉลากเองก็โดนเช่นเดียวกัน ซึ่งผู้ผลิตไม่มีทางทราบได้เลยว่าสินค้าของตนเองถูกนำไปทำเลียนแบบมากน้อยเพียงใด ใครเป็นคนทำ และทำอยู่ที่ไหน ซึ่งผลกระทบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ฝั่งผู้ผลิตเพียงฝั่งเดียว แต่ยังส่งผลถึงผู้บริโภคอีกด้วย และด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้านี้ การพัฒนาฉลากสินค้าในด้านความสวยงาม เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันการปลอมแปลงสินค้าได้ โดยประกอบด้วย 3 องค์ประกอบที่สำคัญดังนี้
Brand Protection
- Mark your Products คือ การทำให้สินค้าสามารถตรวจสอบได้ สามารถทำได้ตั้งแต่การมีคิวอาร์โค้ดไว้เพื่อสแกนตรวจสอบ โดยทำให้มีความแตกต่างมากยิ่งขึ้นด้วยการติดฟอยล์โฮโลแกรมทับคิวอาร์โค้ด ซึ่งตัวฟอยล์นี้จะมีลายน้ำที่แตกต่างกันในแต่ละตัวและใช้ได้เพียงครั้งเดียว และสามารถทำให้มีความเฉพาะตัวได้มายิ่งขึ้นด้วยการเพิ่ม ซีเรียลนัมเบอร์
- Involve your customers คือการให้ลูกค้าสแกนที่คิวอาร์โค้ดบนสินค้าเพื่อตรวจสอบว่าสินค้าเป็นของแท้หรือไม่ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยทำให้ทราบถึงแหล่งของสินค้าปลอมได้อีกด้วยจากการให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมนี้ ซึ่งเป็นเหมือนการสื่อสาร 2 ทาง ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค
- Use the data คือการนำข้อมูลที่ได้จากการที่ลูกค้าสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อตรวนสอบสินค้าว่าแท้หรือไม่ มาใช้วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย เพื่อต่อยอดพัฒนาสินค้า และค้นหาแหล่งผลิตของปลอม เพื่อพัฒนาสินค้าและฉลากสินค้าให้ทำการปลอมแปลงได้ยากมากยิ่งขึ้น
- Increase the benefits by adding customers interaction คือการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเพื่อดึงดูดความสนใจจากลูกค้า เช่น การจัดแคมเปญเชิญชวนให้ลูกค้าสแกนคิวอาร์โค้ดบนสินค้าเพื่อสะสมแต้มแลกรับรางวัล สแกนเพื่อทำแบบสอบถามลุ้นรับรางวัล
Brand Decoration
- Decoration your products คือการออกแบบและสร้างสรรค์ให้ฉลากสินค้ามีความสวยงาม ซึ่งนอกจากจะเป็นการทำให้ปลอมแปลงได้ยากแล้วนั้น ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าและศักยภาพการขายให้แก่สินค้าได้อีกด้วย
- Attract your customers คือการดึงดูดลูกค้าด้วยฉลากที่โดดเด่นจากสินค้าอื่น เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า
- Create trust คือการสร้างความเชื่อใจให้แก่ลูกค้าด้วยการมีฉลากที่บัตรแปลงได้ยาก เช่น โฮโลแกรมบนบัตรเครดิต เพื่อเป็นการสร้างภาพจำที่ดี ให้ผู้บริโภคเชื่อถือได้
Digital Product Passport
การที่สินค้าควรมีคิวอาร์โค้ด และซีเรียลนัมเบอร์ที่แตกต่างกันเฉพาะตัว เพื่อให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบสินค้า และให้ข้อมูลด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ด และเพิ่มลูกเล่นให้ดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้อีกด้วย
การพัฒนาเทคโนโลยีฉลากอัจฉริยะ และระบบงานหลังพิมพ์ เป็นอีกหนึ่งหนทางช่วยป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดจากการปลอมแปลงสินค้า ที่ไม่เพียงแต่จะปกป้องแค่ผู้ผลิต แต่ยังช่วยปผป้องผู้บริโภคอีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้า ทำให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบสินค้าและนำข้อมูลเหล่านั้นมาต่อยอดทำการตลาดเพื่อสร้างมูลค่าให้สินค้าและเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ได้ในอนาคต