
ปัจจุบัน การดำเนินชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปมากตั้งแต่สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ต้องเว้นระยะห่างซึ่งกันและกัน และต้องทำงานที่บ้าน (Work from Home) ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจในความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงเรื่องของอาหารการกินที่เน้นบริโภคผลิตภัณฑ์ที่สะดวกต่อการรับประทาน จึงเป็นเหตุให้ผู้บริโภคหันไปรับประทานของทานเล่นมากขึ้น เพราะสะดวกและมีรสชาติที่หลากหลาย แต่ในขณะเดียวกันยังคงคำนึงถึงเรื่องสุขภาพไปด้วย
บริษัทวิจัยตลาด ยูโรมอนิเตอร์ (Euromonitor) เปิดเผยข้อมูลว่า ปี 2566 ตลาดค้าปลีกสแน็คของโลกมีมูลค่า 643,805.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ขนมหวานที่ทำด้วยน้ำตาล ไอศกรีม ของทานเล่นรสเผ็ดหรือเค็ม ของทานเล่นรสหวาน โดยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2564-2566 เฉลี่ยปีละประมาณ 5.4 ต่อปี
พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า ผู้บริโภคในปัจจุบันมีการดูแลสุขภาพและตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จากเทรนด์การบริโภคของคนรุ่นใหม่ และการส่งเสริมของภาครัฐให้ลดการทาน หวาน มัน เค็ม รวมถึงขอความร่วมมือและออกมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการในการออกผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการสแน็คหันมาออกผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มสารอาหารที่มีประโยชน์ โดยในปี 2566 ตลาดค้าปลีกสแน็คเพื่อสุขภาพ (Healthy Snacks) ของโลก เช่น สแน็คที่ไม่มีกลูเตน (Gluten Free Snacks) สแน็คที่ไม่มีน้ำตาล (No Sugar Snacks) สแน็คที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ (Vegan Snacks) สแน็คที่มีไฟเบอร์สูง (High Fiber Snacks) และสแน็คไขมันต่ำ (Low Fat Snacks) มีมูลค่าสูงถึง 315,399.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราการเติบโตร้อยละ 8.0 โดยประเทศที่มีอัตราการเติบโตของการบริโภคสแน็คเพื่อสุขภาพสูง ได้แก่ จีน ฮ่องกง ชิลี บราซิล อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
โดยมูลค่าตลาดค้าปลีกสแน็คของไทย ในปี 2566 มีมูลค่า 105,200.7 ล้านบาท โดยมีการบริโภคในกลุ่ม Savoury Snacks มากที่สุด 47,206.8 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 44.9 สำหรับตลาดสแน็คเพื่อสุขภาพ มูลค่า 28,314.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.9 ของมูลค่าตลาดสแน็คในไทย และมีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูง อยู่ที่ร้อยละ 11.3 สินค้าสแน็คเพื่อสุขภาพในตลาดไทย ที่มีมูลค่าสูง 5 อันดับแรก ได้แก่ ขนมที่ไม่มีน้ำตาล ขนมที่ไม่มีกลูเตน ขนมที่เพิ่มวิตามิน ขนมที่มีโปรตีนสูง และขนมที่มีไฟเบอร์สูง ซึ่งตลาดส่งออกสินค้าสแน็คของไทยที่สำคัญ 5 อันดับ ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย กัมพูชา และเวียดนาม
“ไทยมีศักยภาพในการผลิตและส่งออกสแน็ค เนื่องจากมีแหล่งวัตถุดิบสำคัญทั้งผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ รวมถึงภูมิปัญญาในการแปรรูปอาหาร ทำให้มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม เทรนด์การบริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งหลายประเทศมีการออกกฎระเบียบ มาตรฐาน หรือฉลากสินค้าเพื่อรับรองคุณภาพของสินค้าและบรรจุภัณฑ์ ผู้ประกอบการต้องติดตามข้อมูลข่าวสารมาตรฐานกฎระเบียบต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าที่ใส่ใจต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงหาตลาดส่งออกใหม่ที่มีแนวโน้มในการบริโภคสินค้าสแน็คเพื่อสุขภาพมากขึ้น ขณะที่เกษตรกรควรผลิตสินค้าต้นน้ำที่สนับสนุนให้การแปรรูปสินค้าสอดรับกับมาตรฐานด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อาทิ ผักผลไม้ออร์แกนิค และการทำปศุสัตว์อินทรีย์แบบปล่อย สำหรับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ได้ติดตามและเผยแพร่ข่าวสาร มาตรฐาน และโอกาสทางการค้าต่าง ๆ รวมทั้งจัดงานแสดงสินค้และกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ และนำผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าสำคัญ ๆ ในต่างประเทศ แสวงหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อสร้างโอกาสและสร้างรายได้ รวมถึงการพัฒนาจากการส่งออกสินค้าต้นน้ำเป็นการส่งออกสินค้ากลางน้ำหรือปลายน้ำให้มากขึ้น อันจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรไทย ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป” พูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา: https://tpso.go.th/news