ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา Thailand – Japan Investment Forum ในช่วงสัปดาห์การประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ (ASEAN-Japan Commemorative Summit) พร้อมด้วย นิชิมุระ ยาสึโทชิ รมว.เศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) และอิชิกุโระ โนริฮิโกะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าญี่ปุ่น (JETRO) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา
โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณและถือโอกาสกล่าวถึงนโยบายเศรษฐกิจและการพัฒนาที่รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการ เพื่อสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจ และยกระดับศักยภาพการแข่งขันของไทยในเวทีโลก โดยไทย-ญี่ปุ่น มีความสัมพันธ์ทางการทูตอันดี และนานกว่า 136 ปี ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทั้ง 2 ประเทศ ได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และสังคม โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงประเด็นหลักที่สำคัญ ดังนี้
1. ด้านความสัมพันธ์ ญี่ปุ่นเป็นมิตรแท้ของไทยที่มีความผูกพันกันในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับราชวงศ์ รัฐบาล ภาคธุรกิจ ไปจนถึงประชาชน จากจำนวนบริษัทญี่ปุ่นกว่า 6,000 บริษัท และชาวญี่ปุ่นที่กว่า 80,000 คนที่อยู่ในไทย ล้วนเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจของไทยทั้งสิ้น รวมทั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 นายกรัฐมนตรีได้หารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในช่วงระหว่างการประชุม APEC และเห็นพ้องร่วมกันว่า ทั้งสองประเทศควรขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้มากยิ่งขึ้น
2. ด้านโอกาสและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ กับสถานการณ์ความท้าทายที่โลกกำลังเจอ ทางรัฐบาลไทยได้เร่งดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อรับมือ โดยมุ่งส่งเสริม พัฒนาเศรษฐกิจใหม่ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง AI การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการพัฒนา Startup ให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของทางญี่ปุ่นที่เน้นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเห็นได้ชัดจากความสามารถของบริษัทใหญ่ ไปจนถึงบริษัทระดับท้องถิ่น ซึ่งมี Know how และมีศักยภาพพร้อมเติบโตไปยังต่างประเทศได้ และหวังว่าไทยเองจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายของญี่ปุ่น
- เศรษฐกิจและการค้า รัฐบาลมีมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายทาง ไม่ว่าจะการอัดฉีดเงินเข้าระบบ ดึงดูดการท่องเที่ยว เร่งดึงการลงทุนจากบริษัทชั้นนำระดับโลก และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยด้านการค้า ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าที่เป็นลำดับต้น ๆ ของไทย มีมูลค่าอยู่ที่ 8.7 ล้านล้านเยน คิดเป็น 10% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งหมด ซึ่งมั่นใจในศักยภาพว่าจะสามารถขยายมูลค่าได้มากขึ้น และครอบคลุมสินค้าได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร สินค้าอุปโภคบริโภค ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่าง ๆ
- การลงทุน นักลงทุนญี่ปุ่นถือว่ามีบทบาทต่อเศรษฐกิจไทยมาก โดยเป็นชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากสุดติดต่อกันยาวนาน ซึ่งช่วง 10 ปีหลัง มีโครงการที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ส่งเสริมกว่า 4,000 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 6 ล้านล้านเยน โดยเฉพาะปี 66 นี้ มีกว่า 180 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 180,000 ล้านเยน
- อุตสาหกรรมพลังงาน ไทยมีเป้าหมายในการเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2065 จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ขอเชิญชวนญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ไปด้วยกัน โดยประเทศไทยมีความพร้อมด้านพลังงานสะอาด (Clean Energy) และกำลังต่อยอดอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น Green Hydrogen ที่จะกลายเป็นแหล่งพลังงานแห่งอนาคต
ซึ่งการลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นส่วนที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักร และอาหารแปรรูป เป็นเวลากว่า 50 ปีและรัฐบาลไทยพร้อมที่จะช่วยดูแลและสนับสนุนบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นให้แข่งขันและเติบโตได้เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุน Soft Power เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ เพิ่มความสามารถการแข่งขันของประเทศและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยต่อเวทีโลก โดยไทยผลักดันด้วยการทูตเชิงวัฒนธรรม การยกระดับและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย สร้าง 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ พัฒนาคอนเทนต์ผ่านหลากหลายอุตสาหกรรม และส่งเสริมการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยไปต่อยอดให้แพร่หลาย
ดังนั้น จึงเป็นโอกาสใหม่สำหรับญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนเพื่อต่อยอดทรัพยากรไทยในการพัฒนาเกมส์ ภาพยนตร์ หรืออนิเมชั่น ซึ่งเชื่อมั่นว่าความพร้อมด้าน Creative Industry ของไทยไม่แพ้ใคร พิสูจน์ได้โดยรางวัลต่าง ๆ ทั่วโลกที่สร้างด้วยฝีมือคนไทย
3. ด้านแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของไทย รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ ยกระดับระบบคมนาคมขนส่งของ โดยมีหลายภาคส่วนที่มีความร่วมมือกับทางญี่ปุ่น
โดยทางนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนญี่ปุ่นร่วมลงทน “แลนด์บริดจ์” สร้างเส้นทางการค้าใหม่ของโลก ที่นอกเหนือจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC แล้ว รัฐบาลยังมุ่งมั่นที่จะผลักดันโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลฝั่งอ่าวไทย และอันดามัน หรือแลนด์บริดจ์ให้สำเร็จ โดยมูลค่าเงินลงทุนเบื้องต้นกว่า 4 ล้านล้านเยน เพื่อสร้างเส้นทางการค้าการขนส่งใหม่ของโลกที่เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ด้วยท่าเรือ ระบบราง และระบบถนน ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของภูมิภาคและระดับโลก จึงเชิญชวนให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นเข้าร่วมศึกษาและลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ เสริมสร้างความเชื่อมโยงและ supply chain ในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ซึ่งช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีให้ความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมุ่งมั่นจะยกระดับเศรษฐกิจ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เดินหน้าขยายการเจรจา FTA กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และเร่งปรับปรุงบริการภาครัฐ เพื่อทำให้การประกอบธุรกิจมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งวันนี้ประเทศไทยเปิดกว้างสำหรับการลงทุนจากทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่รายสำคัญของไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา