
เอกา โกลบอล ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เผยยอดขายไตรมาสแรกของปี 67 บรรจุภัณฑ์แห่งอนาคตเติบโตกว่า 10-15% หลังผู้บริโภคกลับเข้าสู่วิถีชีวิตเร่งรีบจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาเป็นปกติ หนุนดีมานด์อาหารพร้อมรับประทานในประเทศและส่งออกพุ่ง ถือเป็นโอกาสของผู้ผลิตอาหาร แต่ต้องเร่งปรับตัวรับมือภัยแล้ง และเมกะเทรนด์สิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

ชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) แบรนด์คนไทยเบอร์ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก และดำเนินธุรกิจด้วยความภาคภูมิใจกว่าสองทศวรรษ กล่าวว่า ภาพรวมของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมากกว่า 10-15% จากปี 2566 เป็นการเติบโตจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-Eat) กลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม (Pet-Foods) และกลุ่มบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม (กรีนโปรดักส์) โดยเติบโตทั้งจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดอินเดียที่รักษาอัตราการเติบโตได้มากกว่า 100%
ทั้งนี้ มองว่าการเติบโตเป็นไปทางเดียวกับตลาดอาหารโลก โดยเฉพาะอาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดในประเทศและตลาดส่งออกใกล้เคียงกัน อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ของฝ่ายวิจัยคาดการณ์อัตราการเติบโตของตลาดอาหารในปีนี้จะเพิ่มขึ้นราว ๆ 5 – 6% โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมช่วยยืดอายุการจัดเก็บอาหารที่ยาวนานขึ้น หรือ มีนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน เป็นแรงผลักดันตลาดอย่างมีนัยสำคัญ

โดยการเติบโตนี้มีแรงหนุนจากการขยายตัวของเมือง ทำให้อาหารพร้อมทานรูปแบบต่าง ๆ เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ประกอบกับผู้ผลิตมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อยู่เสมอ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้บริโภคหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ มีความเร่งรีบและไม่มีเวลาจัดเตรียมอาหาร จึงหันมาบริโภคสินค้าพร้อมทาน ที่มีความสะดวก มีมาตรฐานการผลิตทั้งด้านความสะอาด และรสชาติที่ดี มีราคาใกล้เคียงกับอาหารปรุงสด รวมไปถึงการส่งเสริมการขายที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากกว่า
ทางด้านตลาดส่งออก คาดว่าปริมาณการส่งออกอาหารพร้อมรับประทานจะเติบโตโดยเฉลี่ย 5 – 6% ต่อปี โดยนอกจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่กลับเข้าสู่สภาวะเร่งรีบแล้ว แนวโน้มการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลกจะค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูง ทำให้ผู้บริโภคหันมานิยมรับประทานอาหารที่มีราคาที่เข้าถึงได้ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้านประชากรโลกที่นิยมอาศัยคนเดียว มีครอบครัวที่เล็กลง รวมทั้งการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้การตุนวัตถุดิบเพื่อเตรียมอาหารมีน้อยลง และเปลี่ยนเป็นการซื้อในปริมาณที่เพียงพอต่อครั้งมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตลาดอาหารยังมีปัจจัยที่ท้าทาย จากปัญหาภัยแล้งที่เกิดทั่วโลก อาจส่งผลต่อปริมาณและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น จากการที่ผู้บริโภคทั่วโลกหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จึงเลือกซื้ออาหารที่มีประโยชน์ และนโยบายสนับสนุนการลดการบริโภคโซเดียมของไทยและทั่วโลก จะทำให้ผู้บริโภคหันมาเลือกซื้ออาหารที่มีเครื่องหมายรับรองคุณภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการที่จะต้องยกระดับสินค้าให้ได้มาตรฐาน
ชัยวัฒน์ กล่าวปิดท้ายว่า ยังมีเมกะเทรนด์โลกด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดอาหาร โดยหลายประเทศมีความเข้มงวดมากขึ้น อาทิ สหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรการส่งเสริมการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ โดยจะต้องติดฉลากรีไซเคิลตามสินค้า เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภครักษ์โลก และปฏิบัติตามมาตรการสหภาพยุโรป เป็นต้น
“ปีนี้ ตลาดอาหาร โดยเฉพาะอาหารพร้อมรับประทาน มีโอกาสขยายตัวที่ดีมาก แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีปัจจัยที่ท้าทายหลายด้าน ทั้งเรื่องภาวะโลกร้อน ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน อาจส่งผลต่อต้นทุนด้านการขนส่ง และบรรจุภัณฑ์ได้ หรือ แม้แต่เมกะเทรนด์สิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน ดังนั้นผู้ผลิตอาหารจะต้องระมัดระวังมากขึ้น”