
กลุ่ม KTIS มั่นใจธุรกิจสายชีวภาพอย่างบรรจุภัณฑ์ชานอ้อย 100% จะเติบโตได้อีกไกล เพราะอยู่ในกระแสหลักโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีโรงไฟฟ้าชีวมวล และเอทานอล ที่อยู่ในสายธุรกิจชีวภาพ ลดก๊าซเรือนกระจก ก็นับเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน ตามแนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green) ที่เน้นเพิ่มมูลค่า ลดการสูญเสีย และยังคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ชี้สัดส่วนรายได้ธุรกิจชีวภาพอนาคตจะเพิ่มขึ้น และลดความผันผวนที่เกิดจากปัจจัยที่ควบคุมได้ยากอย่างราคาน้ำตาลโลกอีกด้วย
สมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เผยว่า กลุ่ม KTIS ใช้แนวคิด BCG Model เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยวัตถุดิบตั้งต้นในห่วงโซ่การผลิตเป็นไบโอ (B) คืออ้อย และนำมาต่อยอดในสายธุรกิจชีวภาพ โดยใช้ผลพลอยได้ทุกส่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นกากอ้อย (ชานอ้อย) กากน้ำตาล (โมลาส) หรือแม้กระทั่งใบอ้อย จนแทบจะไม่มีความสูญเสียระหว่างทาง หรือที่เรียกว่า Zero Waste
“การหีบอ้อยได้น้ำอ้อยไปทำน้ำตาลทราย ส่วนชานอ้อยก็นำไปทำเยื่อกระดาษชานอ้อย รวมถึงต่อยอดไปเป็นภาชนะและบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยและหลอดชานอ้อย 100% ส่วนชานอ้อยอีกส่วนหนึ่งยังนำไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ส่วนโมลาสหรือกากน้ำตาล ก็นำไปผลิตเอทานอล ซึ่งการลงทุนในสายธุรกิจต่างๆ อย่างต่อเนื่องครบวงจรนี้ ก็คือตัว C หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน ตามโมเดล BCG นั่นเอง” สมชายกล่าว
ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวเสริมว่า ด้านของเศรษฐกิจสีเขียว หรือ G นั้น ทางกลุ่ม KTIS ได้ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอดอยู่แล้ว โดยผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม KTIS เป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ทดแทนผลิตภัณฑ์ที่ก่อก๊าซเรือนกระจก เช่น การผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล เยื่อกระดาษจากชานอ้อย หรือไบโอเอทานอล ทำให้บริษัทในกลุ่ม KTIS ได้รับการรับรองด้านการจัดการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น iso14001 และยังรวมไปถึงการได้รับการรับรองทั้งกระบวนการใน supply chain ตั้งแต่ในไร่อ้อย เช่น มาตรฐาน Bonsucro และ VIVE program ซึ่งยืนยันในเรื่องการทำไร่อ้อยอย่างยั่งยืน
สมชายยังกล่าวอีกว่า สำหรับโครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อย ซึ่งมีกำลังการผลิต 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน โดยมีเครื่องจักร 50 เครื่อง ที่จะผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยออกสู่ตลาดได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น จาน ชาม กล่อง หรือถาดหลุม มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์รักษ์โลกนี้จะได้รับผลตอบรับที่ดี เพราะสอดคล้องกับเทรนด์ของโลก โดยเฉพาะกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช้คลอรีนในการฟอกสีเยื่อกระดาษ ทำให้ได้เยื่อกระดาษชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% สามารถบรรจุอาหารได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะร้อนหรือเย็น อีกทั้งยังผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV ก่อนที่จะส่งถึงมือผู้บริโภคอีกด้วย
“บรรจุภัณฑ์ชานอ้อยของกลุ่ม KTIS นั้น ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น สามารถใส่น้ำโดยไม่รั่วซึม สามารถนำเข้าเตาอบและเตาไมโครเวฟได้ ไม่มีสารปนเปื้อนก่อมะเร็ง ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ภายใน 45 วัน โดยได้รับใบรับรองมาตรฐานระดับโลกด้านการย่อยสลายของผลิตภัณฑ์ (Products made of compostable materials for industrial composting Clamshell and Plate) และอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยบริษัทผู้ตรวจสอบชั้นนำของประเทศไทย ในการรับรองระบบมาตรฐานโรงงานด้านความปลอดภัยของอาหาร ด้านการผลิต Food Packaging เช่น FSSC 22000, ISO 22000, GHPs/HACCP เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น” สมชายกล่าว
ทั้งนี้ ในศักยภาพของธุรกิจสายชีวภาพที่มีการเติบโต จะช่วยให้มีสัดส่วนายได้ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสายธุรกิจน้ำตาลทราย และจะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นมีความผันผวนน้อยลง อันเนื่องรายได้และกำไรของธุรกิจน้ำตาล นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับปริมาณอ้อยที่ผลิตได้ในแต่ละปีแล้ว ยังอิงกับราคาน้ำตาลในตลาดโลกด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก