
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ร่วมกับวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม จัดกิจกรรม SPU Supply Chain Roundtable ครั้งที่ 176 เสวนาในหัวข้อ “เปิดประเด็นท้าทายอภิมหาโปรเจคใหญ่แห่งปี Land Bridge 1 ล้านล้าน ตอบโจทย์ใคร?”
โดยในวงเห็นด้วยกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจในพื้นที่ให้ไปในทิศทางการลงทุนจริง แต่การลงทุนด้านโลจิสติกส์ยังต้องพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณสินค้าถ่ายลำและผ่านแดน เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าเป้าหมายหลักของโครงการมากกว่า 80% ของปริมาณสินค้าคาดการณ์ทั้งหมด
พิเศษ ฤทธาภิรมย์ ประธานสมาคมเจ้าของและตัวแทนเรือกรุงเทพ ให้ความเห็นว่า การใช้แลนด์บริดจ์ของเรือขนาดใหญ่มีต้นทุนค่าใช้จ่าย เวลา รวมถึงจำนวนเรือที่ต้องใช้เพิ่ม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อทุนขนส่งสินค้า โดยประเมินว่าจะลดการเดินเรือได้ 2-5 วัน ตามที่ปรึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้ประเมินไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ยังมีข้อสันนิษฐานว่าการปฏิบัติงานแบบไร้รอยต่อของโครงการแลนด์บริดจ์จะสามารถทำได้จริงหรือไม่ หลังจากประเมินแล้วพบว่าปริมาณตู้ที่ขนโดยเรือขนาดใหญ่จะทำให้เกิดปัญหาการจัดการลานตู้ในท่าเรือทั้งสองฝั่ง และส่งผลให้ใช้เวลาเทียบท่านานในการถ่ายสินค้าที่ 7-10 วันในแต่ละฝั่ง ในการยกตู้ขึ้นฝั่งและยกตู้ลงเรือ จะทำให้ต้องเพิ่มเรือในเส้นทางอีกอย่างน้อย 1.5 ลำขึ้นไป จากจำนวนเรือที่ใช้เดินเรือในเส้นทางเอเชีย-ยุโรปผ่านช่องแคบมะละกา และในด้านการจัดการโลจิสติกส์บนฝั่งต้องบริหารเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางบกสำหรับการย้ายตู้จำนวนมากระหว่างท่าเรือทั้งสองฝั่ง ทั้งรถหัวลากและรถไฟในการเคลื่อนย้ายและจัดเรียงลำดับตู้
ขณะที่ คงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สรท. กล่าวว่า ท่าเรือแลนด์บริดจ์เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในการขนส่งสินค้า โดยผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้า เน้นใช้ท่าเรือที่อยู่ใกล้สถานที่ตั้งของตนมากที่สุด เพื่อลดต้นทุนการขนส่งระหว่างท่าเรือและโรงงาน และยังลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่งทางบก เพื่อตอบสนองมาตรการทางการค้าและเป้าหมาย Net Zero Carbon เนื่องจากโรงงานส่วนใหญ่อยู่ไกลจากพื้นที่โครงการแลนด์บริดจ์ แต่อยู่ใกล่ท่าเรือแหลมฉบังมากกว่า และหากปริมาณสินค้าในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้มีน้อยจะทำให้สายการเดินเรือเลือกใช้เรือขนาดเล็กและความถี่ต่ำ อาจทำให้ต้นทุนของสายเรือจากท่าเรือแลนด์บริดจ์สูงกว่าต้นทุนการขนส่งจากท่าเรือแหลมฉบังไปยังประเทศปลายทาง
ทั้งนี้ สรท.สนับสนุนการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานเดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาทิเช่น ท่าเรือสงขลา ท่าเรือระนอง เพื่อรองรับความต้องการส่งออกและนำเข้าของอุตสาหกรรมเดิม และอุตสาหกรรมใหม่ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ พร้อมเสนอประเด็นเร่งด่วนในการ แก้ไขอุปสรรคต่อการถ่ายลำ โดยดำเนินโครงการ Transshipment Sandbox ณ ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อทดสอบความพร้อมและแนวปฏิบัติในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการถ่ายลำในภูมิภาค
สนับสนุนการพัฒนาโครงการขนส่งเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือหลักของประเทศ อาทิ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือสงขลา เนื่องจากประเทศไทยควรใช้ระบบการขนส่งทางรางในการขนส่งจากแต่ละภาคไปยังท่าเรือหลัก แทนการขนส่งสินค้าทางถนนซึ่งปล่อยปริมาณคาร์บอนสูงกว่า และมีปัญหาความแออัดในการจราจรทางถนน