ภาคเอกชนแนะรัฐบาลให้พิจารณาโครงการ “แลนด์บริดจ์” อีกครั้ง เพราะทุนสูงถึง 1 ล้านล้านบาท และไม่ใช่โครงการหลักในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (เซาท์เทิร์นซีบอร์ด) อาจไม่เกิดประโยชน์ในการลงทุน

“ยังมีความสับสนว่าเราอยากได้อะไร เซาท์เทิร์นซีบอร์ดควรเกิดขึ้นก่อนแล้วเสริมด้วยแลนด์บริดจ์ เพราะจะสร้างระบบโลจิสติกส์ก็ต้องรู้ก่อนว่าจะขนส่งอะไร” ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก กล่าว
การลงทุนที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็น สร้างถนนเชื่อมชายฝั่งอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน การก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมัน ยังไม่มีความชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามควรศึกษาถึงความเป็นไปได้ก่อนตัดสินใจ เพราะอนาคตอาจจะใช้ระบบระบบโลจิสติกส์หลักทางน้ำ ทางบก หรือระบบรางก็ได้ อีกทั้งทั่วโลกกำลังให้ความสนใจในการเปลี่ยนจากใช้พลังงานจากฟอสซิลไปเป็นพลังงานชีวมวล
“ในอนาคตการขนส่งแบบไหนจะเป็นที่นิยม โลกยังจะใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงกันอีกหรือเปล่า” ชัยชาญ กล่าว
โดยก่อนหน้า สรท. กับวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม เคยร่วมจัดเสวนาเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวแล้ว และเห็นตรงกันว่าไม่ตอบโจทย์ระบบขนส่ง เพราะอาจไม่คุ้มกับการลงทุนจริง
เมื่อปลายปีก่อน เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ได้ไปโรดโชว์โครงการแลนด์บริดจ์ให้กับนักลงทุนชาวญี่ปุ่น โดยระบุว่า แลนด์บริดจ์ จะใช้ทดแทนการส่งสินค้าผ่านช่องแคบมะละกาที่มีปริมาณการเดินเรือที่คับคั่งและหนาแน่นมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จากปริมาณการขนถ่ายตู้สินค้าถึง 70.4 ล้านตู้ต่อปี และจำนวนเรือที่แล่นผ่านอีกประมาณ 90,000 ลำต่อปี และคาดว่าในปี 2573 ปริมาณเรือจะเกินกว่าความจุของช่องแคบมะละกา จนอาจเกิดปัญหาตู้สินค้าล้นท่าเรือเพราะต้องรอให้เรือเข้ามาถ่ายตู้สินค้า
โครงการนี้มีทำเลเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญใจกลางคาบสมุทรอินโดจีนที่เชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย มีความได้เปรียบในเส้นทางเดินเรือที่ประหยัดต้นทุนกว่า 4% เร็วกว่า 5 วัน และปลอดภัยกว่า กรณีขนส่งจากประเทศผู้ผลิตในกลุ่มเอเชียตะวันออก อาทิ ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ ไปยังประเทศผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง และตะวันออกกลาง
ขณะที่สินค้าที่ผลิตจากประเทศผู้ผลิตในแถบทะเลจีนใต้ เช่น จีนด้านตะวันออก ไต้หวัน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มายังประเทศผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง และตะวันออกกลาง จะประหยัดต้นทุนขนส่งได้อย่างน้อย 4% และเร็วกว่า 3 วัน
ส่วนสินค้าที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย ลาว กัมพูชา เมียนมา และประเทศจีนตอนใต้ ไปยังประเทศผู้บริโภคต่างๆ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ประเทศในเอเชียกลาง และประเทศในตะวันออกกลาง จะช่วยประหยัดต้นทุนได้มากถึง 35% และเร็วกว่า 14 วัน
ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)