
ในยุคที่สิ่งแวดล้อมกำลังเผชิญกับปัญหาขยะพลาสติกที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล บรรจุภัณฑ์ที่กินได้ หรือ Edible Packaging กลายเป็นนวัตกรรมที่ได้รับความสนใจในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ทั่วโลก ด้วยความสามารถในการลดปริมาณขยะพลาสติกที่สะสมในธรรมชาติ และตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจในความยั่งยืน บรรจุภัณฑ์ชนิดนี้จึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่สามารถนำไปสู่อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
บรรจุภัณฑ์ที่กินได้ ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ให้แก่ผู้ผลิตในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานประโยชน์ด้านสุขภาพและความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภค เทร็นด์นี้กำลังเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมอาหารและบริการ รวมถึงสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยส่งเสริมการใช้วัสดุทางเลือก
ลักษณะของบรรจุภัณฑ์ที่กินได้
บรรจุภัณฑ์ที่กินได้จะมีการผลิตจากวัสดุธรรมชาติ หรือโพลีเมอร์ชีวภาพ เช่น โปรตีน (เจลาติน กลูเตน ฯลฯ) Polysaccharides (แป้ง) และไขมัน (Wax, Lipid) เป็นต้น วัสดุเหล่านี้ถูกพัฒนาให้สามารถห่อหุ้มผลิตภัณฑ์อาหารหรือของเหลว และเมื่อใช้เสร็จสามารถบริโภคได้โดยไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังสามารถย่อยสลายได้หากไม่ได้บริโภค บรรจุภัณฑ์ที่กินได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทฟิล์มและประเภทสารเคลือบ โดยฟิล์มจะถูกสร้างแยกออกมาก่อน จากนั้นจึงนำไปใช้ห่อหุ้มอาหาร ในขณะที่สารเคลือบจะถูกผลิตและทาลงบนอาหารโดยตรง โดยอาจเป็นสารเคลือบหรือชั้นผิวระหว่างส่วนต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์อาหารชนิดเดียวกัน และด้วยคุณสมบัติของโพลีเมอร์ชีวภาพจึงทำให้บรรจุภัณฑ์กินได้มีความสามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้ เช่น หากเหลือพร้อมกับเศษอาหารก็สามารถนำไปบดผสมเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงสัตว์ หรือหากนำไปทิ้งก็สามารถย่อยสลายได้โดยธรรมชาติ

ความนิยมและตลาดของบรรจุภัณฑ์ที่กินได้
ผู้บริโภคยุคใหม่หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมและผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมากขึ้น การมองหาสินค้าที่รักษ์โลกและเลือกใช้สินค้านั้นจึงมีมากขึ้นตามลำดับ บรรจุภัณฑ์กินได้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระดับโลก เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงผลกระทบของขยะพลาสติกและมองหาทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น มีผลสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันถึง 37% ตัดสินใจซื้อสินค้าที่สนับสนุนความยั่งยืนให้แก่สิ่งแวดล้อมและ 30% ยอมที่จะจ่ายเงินสูงกว่าให้แก่สินค้าที่ประกาศชัดเจนว่ามีวิธีการผลิต จัดส่ง หรือใช้วัตถุดิบเพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่โลก การเติบโตของตลาดบรรจุภัณฑ์กินได้ทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 581.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใน ค.ศ. 2027 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3.5% ต่อปี ระหว่าง ค.ศ. 2021-2027 ความต้องการบรรจุภัณฑ์กินได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.9% ต่อปี
ประโยชน์ของบรรจุภัณฑ์ที่กินได้
1. ลดขยะพลาสติก: บรรจุภัณฑ์ที่สามารถบริโภคได้ช่วยลดปริมาณขยะที่สะสมในสิ่งแวดล้อม
2. เป็นมิตรต่อสุขภาพ: วัสดุธรรมชาติที่ใช้ใน Edible Packaging มักไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตราย
3. สร้างมูลค่าเพิ่ม: ผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมกับบรรจุภัณฑ์ชนิดนี้มีความดึงดูดใจในตลาด และสามารถเพิ่มราคาสินค้าได้
4. สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน: วัสดุที่ใช้ผลิตสามารถหมุนเวียนและผลิตใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
ผู้ใช้บรรจุภัณฑ์ที่กินได้
- ผลิตภัณฑ์ฟิล์มบรรจุภัณฑ์จากสาหร่ายทะเล จากบริษัท Notpla ฟิล์มนี้สามารถย่อยสลายได้ 100% และยังสามารถรับประทานได้ ใช้ห่อของเหลว เช่น ซอส หรือเครื่องดื่ม

- ผลิตภัณฑ์หลอดที่กินได้ (Edible Straws) จากบริษัท Loliware เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสาหร่ายและสามารถบริโภคได้หลังการใช้งาน ใช้แทนหลอดพลาสติกในร้านอาหารและคาเฟ่

- บรรจุภัณฑ์ที่ใช้เป็นเปลือกห่ออาหาร เช่น ไอศกรีม จากบริษัท WikiCells มีการผลิตจากวัสดุธรรมชาติที่สามารถกินได้และย่อยสลายได้ เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมอาหารที่ต้องการลดขยะพลาสติก

- บรรจุภัณฑ์น้ำดื่มที่กินได้ จากบริษัท Ooho ผลิตจากสาหร่ายและสามารถบริโภคได้พร้อมกับน้ำ ใช้ในงานวิ่งมาราธอนและกิจกรรมกลางแจ้ง
ในประเทศไทยการพัฒนาและการใช้บรรจุภัณฑ์กินได้ (Edible Packaging) ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่มีความก้าวหน้าในด้านการวิจัยและการทดลองผลิต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่เริ่มให้ความสนใจในนวัตกรรมนี้เพื่อช่วยลดขยะพลาสติกและส่งเสริมความยั่งยืน ตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่ ฟิล์มแครอท: ผลงานการวิจัยจากกรมวิชาการเกษตร ที่สามารถรับประทานได้และมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งช่วยเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ และการพัฒนาภาชนะกินได้ เช่น ถ้วยเวเฟอร์ที่สามารถใช้บรรจุอาหารหรือเครื่องดื่ม และสามารถบริโภคได้หลังการใช้งาน
แม้ว่าการใช้บรรจุภัณฑ์กินได้ในประเทศไทยยังไม่แพร่หลายเท่ากับในต่างประเทศ แต่มีแนวโน้มเติบโตตามความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนในการพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Edible Packaging เป็นทางเลือกที่น่าสนใจและสามารถเปลี่ยนวิธีการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะยังมีความท้าทายอยู่ แต่แนวโน้มนี้มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภคและภาครัฐเริ่มสนับสนุนการลดขยะพลาสติกผ่านนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การติดตามเทร็นด์นี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจและผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ในอนาคต





