
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ร่วมกับสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย เครือบริษัท วี-เซิร์ฟ กรุ๊ป สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย และบริษัท วีมูฟ แพลตฟอร์ม จํากัด ร่วมการเสวนาหัวข้อ “ความก้าวหน้าและความสำคัญของนวัตกรรมในธุรกิจโลจิสติกส์” เพื่อการพัฒนาธุรกิจบริการโลจิสติกส์ให้เข้มแข็งและแข่งขันได้
โดยในการประชุมครั้งนี้ ผศ. ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ที่ปรึกษาโครงการ ได้นำเสนอข้อมูลโครงการและดำเนินรายการในช่วงเสวนา โดยได้รับเกียรติจาก สุรรัฐ เนียมกลาง รักษาการที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ว่าที่ร้อยตรี ดร.ธเนศ โสรัตน์ กรรมการและเลขาธิการ สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย และรองประธานกรรมการในเครือบริษัท วี-เซิร์ฟ กรุ๊ป และ ดร.ปิยะนุช สัมฤทธิ์ นายกสมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย และผู้บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท วีมูฟ แพลตฟอร์ม จํากัด ร่วมกันหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการเสวนา
พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเปิดการประชุมระดมความคิดเห็นแนวทางพัฒนานวัตกรรมธุรกิจโลจิสติกส์ว่า สนค. ตระหนักถึงบทบาทของธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จึงดำเนินโครงการศึกษาแนวทางการพัฒนานวัตกรรมในภาคบริการศักยภาพ (ธุรกิจบริการโลจิสติกส์) เพื่อศึกษาภาพรวมด้านเศรษฐกิจ แนวโน้มการเติบโต ศักยภาพ และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ รวมทั้งแนวปฏิบัติที่ดีของประเทศต้นแบบที่ผู้ประกอบการมีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในสาขาบริการโลจิสติกส์ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาผู้ประกอบการไทยในภาคบริการโลจิสติกส์ โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและการให้บริการโลจิสติกส์ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ช่วยยกระดับการดำเนินกิจการ สร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการในการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ และต่อยอดการส่งออกบริการได้ในอนาคต
โดยจากสถิติการจดทะเบียนนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าของผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ พบว่าในปัจจุบันมีจำนวนนิติบุคคลรวม 43,378 ราย โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 มีการเปิดกิจการใหม่ รวม 1,555 ราย ชี้ให้เห็นว่าผู้ประกอบการโลจิสติกส์ยังเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนต้นทุนโลจิกสติกส์ของไทยยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยปี 2565 ต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยมีมูลค่ารวม 2.382 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.7 ต่อ GDP และคาดการณ์ว่า ในปี 2566 สัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยจะอยู่ที่ร้อยละ 13.3 – 13.8 ต่อ GDP รวมทั้งจากการจัดอันดับดัชนีวัดประสิทธิภาพโลจิสติกส์ระหว่างประเทศของ World Bank ในปี 2566 ไทยอยู่อันดับที่ 34 จาก 139 ประเทศทั่วโลก แสดงให้เห็นว่า ไทยยังมีช่องว่างในการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ และจำเป็นต้องมีแนวทางในการพัฒนาธุรกิจบริการโลจิสติกส์ให้เข้มแข็งและแข่งขันได้
“การประชุมระดมความเห็นในครั้งนี้ ข้อมูล ความเห็น ประเด็นท้าทาย และโอกาสที่ได้รับจากผู้เข้าร่วมการประชุมจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาผู้ประกอบการไทยในภาคบริการโลจิสติกส์ ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ โดย สนค. และมจธ. จะนำความเห็นที่ได้มาผนวกกับผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์และจัดงานสัมมนาเผยแพร่แก่ทุกภาคส่วนต่อไป” พูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา: tpso.go.th/news