
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การออกแบบบรรจุภัณฑ์ไม่ได้เป็นเพียงกรอบห่อหุ้มผลิตภัณฑ์อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นเครื่องมือทรงพลังที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของแบรนด์ ความรับผิดชอบต่อสังคม และความคาดหวังของผู้บริโภคยุคใหม่ เทรนด์การออกแบบบรรจุภัณฑ์ไทยในปี ค.ศ. 2025 ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อความงามเชิงศิลป์ แต่ยังบูรณาการแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความยั่งยืน ความหลากหลาย และการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ คุณ “แชมป์ – สมชนะ กังวารจิตต์” นักออกแบบบรรจุภัณฑ์มือรางวัลชาวไทยกว่า 200 รางวัล จาก Prompt Design จะมาบอกเล่าเรื่องเทรนด์การออกแบบบรรจุภัณฑ์ไทยในปี ค.ศ. 2025 โดยปีนี้ได้สำรวจมาจากหลาย ๆ สถาบัน บวกกับการผสานแนวโน้มของกระแสนิยมเพื่อให้เข้ากับบริบทของบ้านเรา ซึ่งมีทั้งหมด 9 เทรนด์ ดังนี้
1. Leave Nothing Behind ทุกชิ้นส่วนมีค่า การออกแบบที่ไม่เหลือทิ้ง
เทรนด์ที่เพิ่มความเข้มข้น หรือความ Advance ขึ้นในเรื่องของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะเราต้องช่วยกันแก้ปัญหาที่สำคัญของโลกที่เรากำลังเผชิญอยู่อย่างเร่งด่วน ซึ่งปีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น แนวทางการออกแบบที่ว่าไม่ทิ้งร่องรอยไว้ข้างหลังนั้น คือการนำวัสดุเหลือใช้กลับมาใช้ใหม่ เพื่อช่วยให้โลกก้าวไปสู่ความเป็น Circular Economy ให้มากขึ้น
ตัวอย่างเพื่อเห็นภาพที่ชัดขึ้น คือ แบรนด์ OGT (One Good Thing) เริ่มต้นแนวคิดจาก Mike กับ Daniel เป็นคนที่ชอบปั่นจักรยาน ซึ่งเส้นทางการปั่นจักรยานของเขา ทำให้เขาต้องตกตะลึงกับปริมาณขยะที่ทำลายความสวยงามตามธรรมชาติตามชนบท ตรงนี้เขาสามารถจะทำอะไรได้บ้าง เขาจึงคิดผลิตภัณฑ์ Oat Bar ที่เคลือบด้วยขี้ผึ้งทดแทนห่อพลาสติก ซึ่งสามารถกินได้ 100% และมาจากธรรมชาติ ส่วนกระดาษที่แปะบนผลิตภัณฑ์ทำมาจากกระดาษข้าวพิมพ์ด้วยหมึกที่กินได้ ถือว่าเป็นนวัตกรรมอีกขั้นหนึ่งของการทำเพื่อสิ่งแวดล้อม

อีกตัวอย่างเป็นผลงานที่น่าสนใจมาก ๆ คือ Wool Gusset Envelope เป็นของชาว Estonia ได้เปิดตัวบรรจุภัณฑ์นี้ที่อังกฤษ คือซองจดหมายแบบบับเบิล (Bubble Mailers & Padded Envelopes) โดยแทนที่จะใช้บับเบิลฟองอากาศที่ทำมาจากพลาสติก เขาเลือกใช้ผ้าขนสัตว์มาทดแทน ซึ่งผ้าขนสัตว์นี้คือเศษเหลือของขนสัตว์ที่ถูกทิ้งในประเทศต่าง ๆ ในยุโรปกว่า 90% นำมาถักทอมา Support แรงกระแทกได้เป็นอย่างดี และสามารถใช้ซ้ำได้อีกด้วย

ความท้าทาย คือ หลากหลายแบรนด์ทำเพื่อสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว จะทำอย่างไรให้เข้มข้นมากขึ้น น่าตื่นเต้นมากขึ้น และมีไอเดียสร้างสรรค์มากขึ้น เพื่อโลกที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยต้องนำแนวคิด Circular Economy มาใช้
2. Packaging with a Purpose สร้างผลกระทบในวงกว้าง
เป็นเทรนด์ที่ต่างประเทศชื่นชอบมากเทรนด์หนึ่งคือ การแสดงให้เห็นว่าการออกแบบนั้นสามารถสื่อสารข้อความ ความหมาย อย่างมีคุณค่าสำคัญในวงกว้างไปยังผู้บริโภคได้ โดยไม่ใช่แค่การขายของเพียงอย่างเดียว แต่คือการก้าวข้ามบรรทัดฐานเดิม ๆ ของการออกแบบ ซึ่งใช้สัญลักษณ์ทางภาพหรือการเล่าเรื่อง การเลือกใช้วัสดุ และรายละเอียดการออกแบบเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างที่มีความหมายที่ยิ่งใหญ่และเป็นประโยชน์
ตัวอย่างเพื่อเห็นภาพที่ชัดขึ้น คือ Godawan คือ Single Malt Whisky ระดับหรูตัวแรกของอินเดีย ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อช่วยปกป้องนก Great Indian Bustard หรือนก Godawan ไม่ให้สูญพันธุ์ การออกแบบ Godawan 100 Series ช่วยยกระดับสถานการณ์อันเลวร้ายของ Godawan ขึ้นด้วยการทำให้คนและสังคมตระหนักถึงเรื่องนี้ ในเชิงการออกแบบในแต่ละขวดได้รับการแกะสลักด้วยมืออย่างพิถีพิถันด้วยภาพประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ของนก Godawan ตัวสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งถูกคัดเลือกด้วยทองคำ ทำให้ขวดทั้ง 100 ขวดกลายเป็นงานศิลปะชิ้นพิเศษที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของนก Godawan แต่ละตัวที่ยังมีชีวิตอยู่

ตัวอย่างถัดไปคือ สินค้าผักผลไม้อบกรอบ ซึ่งมีแนวคิดที่น่าสนใจ ใครคือคนที่ตัดสินว่าอะไรคือ “ความงาม” ของผลไม้และผัก? ใครกำหนดว่าความไม่สมบูรณ์แบบภายนอกจะทำให้สิ่งเหล่านี้ถูกคัดทิ้ง ทั้งที่คุณค่าที่แท้จริงอยู่ภายใน? เรื่องนี้สะท้อนความจริงอันขมขื่นที่ “มาตรฐานความสวยงาม” ที่ไร้หัวใจสร้างขยะอาหารกว่า 300 ล้านตันต่อปี เช่นเดียวกับผลไม้ที่ดูไม่สวยงามภายนอก แต่มากคุณค่าภายใน มนุษย์เราเองก็ไม่ควรถูกตัดสินจากสีผิว ชนชั้นวรรณะ หรือเพศสภาพ ความหลากหลายเหล่านี้คือ ความงดงามที่โลกควรเฉลิมฉลอง ไม่ใช่ทำลาย
KUDSON แบรนด์ผลไม้และผักทอด ขอเป็นกระบอกเสียงให้กับความเท่าเทียม ผ่านการออกแบบที่สะท้อนแนวคิด “Perfectly Imperfect” เราแสดงภาพของผลไม้และผักที่ดูแปลกตา เช่น แอปเปิลที่ผิดรูป มะเขือม่วงบิดเบี้ยว หรือแครอทสามขา พร้อมรอยยิ้มที่จริงใจ เพื่อบอกกับทุกคนว่า “ความงดงามของคุณอยู่ในตัวคุณเอง ไม่ใช่แค่เปลือกนอก” และเพื่อเชื่อมโยงเรื่องราวนี้เข้ากับคุณค่าที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น รายได้ส่วนหนึ่งจากทุกผลิตภัณฑ์จะถูกส่งมอบให้มูลนิธิเพื่อพัฒนาเด็ก เพื่อสนับสนุนเด็กพิการ ให้พวกเขาได้เห็นคุณค่าในตัวเองและมีโอกาสเท่าเทียมกับคนอื่น
KUDSON จึงไม่ใช่แค่แบรนด์ แต่เป็นเสียงสะท้อนที่ชี้ให้เห็นว่า โลกนี้จะสวยงามยิ่งขึ้นเมื่อเราเรียนรู้ที่จะมองผ่านเปลือกนอก และค้นพบคุณค่าที่แท้จริงภายใน

ความท้าทาย คือ ออกแบบอย่างไรให้การสื่อสารทะลุทะลวงหัวใจคน และสร้างแรงบันดาลใจได้ในทุกมิติ
3. Cultural Fusion การบรรจบกันของวัฒนธรรม
คือการนำวัฒนธรรม เพื่อสื่อสารมรดกและความหลากหลายมาหลอมรวมกัน ถือเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรงและเข้ากับกระแส Soft Power ของไทยมาก จึงทำให้การออกแบบบรรจุภัณฑ์นั้นได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนานมาปรับให้มีชีวิตชีวาขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ
ตัวอย่างเพื่อเห็นภาพที่ชัดขึ้นคือ แบรนด์ชื่อดังอย่าง OMSOM เป็นแบรนด์ที่ทำผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรส และเส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีรสชาติความเป็นเอเชียแท้ ๆ โดยการร่วมมือกับเชฟพัฒนาเมนูเอเชีย ทั้งเวียดนาม ไทย เกาหลี ญี่ปุ่น และจีน มาในรูปแบบของความง่ายในการทำอาหารภายใน 15 นาที ซึ่งการออกแบบเขาจะสื่อสารความเป็นเอเชียมาในกลิ่นอายของความทันสมัย สนุกสนาน สีสันจัดจ้านถึงรสชาติ การมีไลฟ์สไตล์ Pop Culture ซึ่ง OMSOM นั้นฉีกกฎเกณฑ์ของการออกแบบแนวทางของสินค้าเอเชียที่มีกลิ่นอายความนิ่งเงียบและอ่อนโยนไปอย่างสิ้นเชิง

ตัวอย่างถัดไปคือ ซี๊ดเด้อ เป็นสินค้าประเภทน้ำจิ้มผลไม้รสแซ่บ ที่นำวัฒนธรรมการกินผลไม้เปรี้ยวแซ่บมาทำเป็นแบรนด์และสินค้า โดยสะท้อนรสชาติผ่านสีสันจัดจ้านที่ใช้ และเพิ่มเติมความสนุกสนามตามภาษาคนไทยผ่านลายเส้น และตัวคาแรคเตอร์ผลไม้ที่ดูแซ่บ ยั่วยวน เย้ายวน พูดง่าย ๆ ว่าดูแรดแบบมั่นใจกันเลยทีเดียว ถือว่านำความเป็นไทยมาแปลความหมายได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ เลยทีเดียว

ความท้าทาย คือ การหลอมรวมวัฒนธรรมแบบไร้รอยต่อ และทำให้คนจากทุกพื้นเพรู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่นำเสนอ
4. Single Symbolics, Endless Identity การเน้นสัญลักษณ์
เริ่มมาจากแบรนด์ในโลกใบนี้มีมากมาย รวมทั้งแบรนด์ใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นมากมายไม่แพ้กัน ดังนั้น Element การจดจำของผู้บริโภคจะยากมากขึ้น ถ้าเราใช้หลากหลาย Element ก็จะยิ่งทำให้ผู้บริโภคจำไม่ได้ ดังนั้นทุกอย่างเลยกลับมาเน้นเพียงแค่สัญลักษณ์ของแบรนด์เพียงอันเดียว เพื่อการรับรู้และตอกย้ำความชัดเจนยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเพื่อเห็นภาพที่ชัดขึ้น คือ แบรนด์เนสกาแฟ ที่ใช้ Iconic รูปขีด Accents บนตัว é ในอักษรโลโก้คำว่า Nescafé มาขยายให้ใหญ่ขึ้นและเพิ่มความโดดเด่นบนบรรจุภัณฑ์และใช้งานบนหลากหลายสื่อ เพื่อการจดจำแบบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ตัวอย่างถัดมา คือ แบรนด์นมตราหมีนมชมพู ที่เป็นรสชาติที่ขายดีมาก โดยเลือกใช้ Iconic จากภาพ Outline หมีมาใช้ในสื่อ Offline และ Online เพื่อตอกย้ำความเป็นหมีให้ชัดขึ้นเช่นกัน

ความท้าทาย คือ การสร้างสัญลักษณ์ที่มีความหมายลึกซึ้งและจดจำได้ในพริบตาเดียว
5. Back to Begin กลับไปสู่จุดเดิม
เป็นการออกแบบใหม่โดยใช้มรดกของแบรนด์เพื่อเชื่อมโยงอารมณ์ของผู้บริโภคให้ได้มากขึ้น เพราะต้องการเล่าเรื่องอดีตในรูปแบบใหม่ โดยส่วนใหญ่แบรนด์ที่ใช้เทรนด์เหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นมานานพอสมควรแล้ว แล้วหยิบยืม Element บางส่วนมาเชื่อมโยงกับปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ Pepsi ได้เปิดตัวการรีแบรนด์ใหม่ โดยนำโลโก้สไตล์ย้อนยุคกลับมาใช้ และเพื่อเชื่อมโยงความเป็นแบรนด์ร่วมสมัยกับความคลาสสิกที่ผู้บริโภคคุ้นเคย Pepsi ได้เปิดตัวโลโก้ใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโลโก้เดิมในยุค 1970 และ 1980 โดยทีมออกแบบเน้นนำเส้นสายและลวดลายแบบเก่ามาปรับปรุงให้มีความสดใหม่ในเชิงกราฟิก โลโก้นี้ออกแบบมาให้สามารถแสดงผลได้ดีในทุกสื่อ ไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์จริง สื่อสิ่งพิมพ์ หรือสื่อออนไลน์ เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพให้กับแบรนด์

ความท้าทาย คือ การปรับอดีตให้เข้ากับปัจจุบันโดยไม่ทำลายเอกลักษณ์ดั้งเดิม
6. Brand Merch ทำแบรนด์ให้อยู่ในชีวิตประจำวัน
Brand Merch หรือ Brand Merchandise หมายถึงสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อนำเสนอหรือสื่อสารอัตลักษณ์ของแบรนด์ โดยมีวัตถุประสงค์หลากหลาย เช่น การส่งเสริมการขาย การสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภค หรือการเพิ่มการรับรู้ในแบรนด์ (Brand Awareness) ตัวอย่างของ Brand Merch เช่น เสื้อยืด แก้วน้ำ หมวก กระเป๋า สมุด หรือของใช้ต่าง ๆ ที่มีโลโก้หรือสัญลักษณ์ของแบรนด์อยู่บนสินค้าเหล่านั้น ซึ่งวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการตลาด สร้าง Brand Love สร้างรายได้เพิ่มเติม เพราะในยุคที่ผู้บริโภคมองหาแบรนด์ที่สะท้อนตัวตนของพวกเขา Brand Merch กลายเป็นวิธีที่แบรนด์สามารถแสดงตัวตนและสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะกับกลุ่ม Gen Z และ Millennials ที่นิยมแสดงความเป็นตัวเองผ่านสินค้าแบรนด์ที่พวกเขาชื่นชอบ เลยทำให้แบรนด์สามารถ “ออกไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน” และสามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันได้
ตัวอย่างมีค่อนข้างหลากหลายเลย เช่น M&M, Coors Light Beer เป็นต้น


ความท้าทาย คือ ออกแบบสินค้าที่ตอบโจทย์ทั้งอัตลักษณ์แบรนด์และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย พร้อมดึงดูดใจด้วยความสร้างสรรค์
7. IP Character พลังของคาแรคเตอร์
IP Character (Intellectual Property Character) หมายถึงการสร้างตัวละครที่เป็นเอกลักษณ์และมีลิขสิทธิ์เฉพาะตัว ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในบริบทต่าง ๆ เช่น การตลาด แบรนด์ดิ้ง หรือสื่อบันเทิง โดยตัวละครเหล่านี้สามารถสร้างเรื่องราว บุคลิก แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภค และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่สื่อถึงแบรนด์หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ เหตุผลที่เทรนด์นี้ได้รับความนิยมในไทยก็เพราะกระแสของ Pop Mart ของจีนมาทำตลาดจนกลายเป็นไวรัลในไทย ทำให้ผู้บริโภคไทยเปิดใจรับเรื่องของคาแรคเตอร์มากขึ้น และมองเห็นคุณค่าของคาแรคเตอร์ที่มากขึ้นตาม ทำให้แบรนด์ไทยที่
ยังไม่มี IP Character ก็ควรจับกระแสตรงนี้ไว้ เพราะเคยเกิดขึ้นในประเทศจีนมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น หมูเด้ง หมีเนย


ความท้าทาย คือ การออกแบบคาแรคเตอร์ที่ไม่ใช่แค่ “น่ารัก” แต่ต้องมีเรื่องราวและเอกลักษณ์ที่ทำให้ผู้บริโภคจำได้ทันที
8. Ai-Inspired ผสานอัจฉริยะของ AI กับมนุษย์
แน่นอนที่สุดการพัฒนาของ AI นั้นได้แพร่กระจายไปทุก ๆ อุตสาหกรรม ไม่เว้นแต่อุตสาหกรรมการออกแบบ หลาย ๆ คนเริ่มใช้ AI ในแง่มุมของการสร้างแรงบันดาลใจ การ Gen ภาพที่ออกมาเพื่อทดสอบไอเดียได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามคนก็จะต้องไปจัดการต่ออยู่ดี ทั้งด้านการวิเคราะห์โจทย์ การปรับแก้ การพัฒนาไปขั้นตอนการผลิต เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคสูงสุด ซึ่งจากที่ผมคุยกับเพื่อนที่ญี่ปุ่นและอเมริกา เขาบอกว่า AI จะมาช่วยในส่วนของ Ideation ได้ แต่ไม่ทั้งหมด ซึ่งส่วนของการพัฒนาแบบ AI วันนี้ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งเพื่อนผมยังบอกต่อไปว่า งานที่ออกมาจาก AI ส่วนใหญ่จะเป็นงานที่เกิดขึ้นมาแล้วทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใหม่แน่นอน แต่พวกเรานักออกแบบจะประมาทไม่ได้

ความท้าทาย คือ การรักษาสมดุลระหว่างความสะดวกของ AI และความเฉพาะตัวของนักออกแบบ เพื่อสร้างสรรค์งานที่แตกต่างอย่างแท้จริง
9. Minimalist & Maximalist น้อยแต่มาก หรือมากแต่แม่น
หลาย ๆ ปีที่ผ่าน ๆ มา หนึ่งในเทรนด์ที่ยังคงมีความต่อเนื่องเสมอมาคือ เทรนด์มินิมอล จริง ๆ แล้วเกิดขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1960 ยุคโมเดิร์นนิสต์ ซึ่งคนเริ่ม ๆ เสพความเรียบง่าย ความพอดี มีพื้นที่ว่าง และเน้นประโยชน์ใช้สอย กระแสเทรนด์นี้ก็ยังไม่เคยตกลงเลย จนมีกลุ่มกระแส Maximalist ขึ้นใน ค.ศ. 2020 ที่พยายามจะหาความแตกต่างด้วยการบอกว่า บางทีการทำอะไรแบบมินิมอลอาจไม่ใช่ทางออกของความโดดเด่นอีกต่อไป ซึ่งเสน่ห์อาจจะมาจากความเยอะก็ได้เหมือนกัน ซึ่งคือการใส่อะไรที่เกินพอดีเข้าไป นับเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดนี้ที่เริ่มใช้กันมากขึ้นแล้ว
ยกตัวอย่าง Alec’s แบรนด์ไอศกรีมที่ทำมาจากนมวัว แต่มีแนวคิดในการจัดการผลกระทบจากการเลี้ยงวัวให้ไม่เกิดมลพิษ เช่น ตดวัวที่มีก๊าซมีเทนสูง หรือการใช้ปุ๋ยเคมี เลยทำให้เกิดก๊าซทำลายบรรยากาศอย่างไนตรัสออกไซด์ หรือแม้กระทั่งการใช้น้ำมาก พลังงานมากในการเลี้ยงวัว ด้วยความคิดเหล่านี้ทำให้ดีไซน์บรรจุภัณฑ์ของแบรนด์นี้ใช้ความเยอะ หรือเรียกว่า Maximalist มาเล่าเรื่อง ผ่านภาพประกอบวัวและโลกที่ดูเป็นเพื่อนสนิทกัน ซึ่งถือว่าเป็นการใช้ Maximalist ที่ดูเยอะและน่าสนใจมาก

ความท้าทาย คือ การเลือกใช้แนวทางที่เหมาะสมกับแบรนด์และบริบท เพื่อให้สื่อสารได้อย่างทรงพลังที่สุด
ทุกเทร็นด์ในบทความนี้ไม่ได้เป็นเพียง “ทางเลือก” แต่เป็น “ทางรอด” ของแบรนด์ในยุคที่ผู้บริโภคมีความคาดหวังสูงขึ้นต่อความยั่งยืนและความใส่ใจในรายละเอียด การออกแบบบรรจุภัณฑ์ไม่เพียงช่วยบ่งบอกตัวตนของแบรนด์ แต่ยังเป็นสื่อกลางในการแสดงความรับผิดชอบต่อโลกและสังคม เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบ นักการตลาด เจ้าของธุรกิจ หรือผู้บริโภค ล้วนมีบทบาทในการสนับสนุนแนวคิดเหล่านี้ เพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่ขึ้นและยั่งยืนขึ้น อย่าปล่อยให้เทร็นด์เหล่านี้เป็นเพียงกระแส แต่จงร่วมกันผลักดันให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่สร้างอนาคตที่ดีกว่า