โดย
สุมาลี ทั่งพิทยกุล
สหภาพยุโรป เตรียมร่างกฎระเบียบการห้ามใช้สาร BPA ในวัสดุสัมผัสอาหาร ภาคอุตสาหกรรมอาหารไทยต้องเตรียมตัวอย่างไร?

สารบิสฟีนอล เอ หรือ BPA ใช้ในวัสดุสัมผัสอาหาร 2 ประเภท ได้แก่ ขวดนมและแลกเกอร์ชนิดอีพอกซี่ที่ใช้เคลือบกระป๋องบรรจุอาหาร ต่อมาในสหภาพยุโรปได้ออก Regulation (EU) No. 321/2011 On the Prohibition of BPA in Polycarbonate (PC) Infant Feeding Bottles โดยขยายขอบข่ายการห้ามใช้ BPA ในถ้วยดื่มน้ำและขวดนมเด็ก รวมทั้งใน Regulation 10 (2011) กำหนดให้ Specific Migration Limit ของ BPA เป็น 0.05 Mg/Kg และใน Regulation 2018/213 ซึ่งเป็นข้อกำหนดของการใช้ BPA ในสารเคลือบที่ใช้กับวัสดุสัมผัสอาหารเป็น 0.05 Mg/Kg เช่นเดียวกัน

หน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (European Food Safety Authority, EFSA) ได้ทำการประเมินความปลอดภัยของการใช้สาร BPA พบว่าลดลง คือค่า TDI ใหม่ เป็น 0.2 นาโนกรัม/กิโลกรัม (Ng/ Kg): ซึ่งลดลงจากเดิม 20,000 เท่า จากเดิมที่ EFSA ประเมินก่อน ค.ศ. 2015 เท่ากับ 4 ไมโครกรัม/กิโลกรัม ดังนั้นสหภาพยุโรปจึงมีความเห็นว่าควรมีกฎระเบียบใหม่ของ BPA ในอาหาร

ภาพการสัมผัส BPA (BPA Exposure) ข้อมูลที่ประเมินใหม่ที่ BPA ในอาหารมีผลต่อสุขภาพ

ทำไมต้องมี Draft ดังกล่าว เนื่องจากใน Regulation 10/2011 กำหนดให้ค่า SML ของ BPA เป็น 0.05 Mg/Kg ถ้าปริมาณ TDI ของ BPA ลดลง 20,000 เท่า นั่นคือ EU จะแบนการใช้ BPA คือ นำสาร BPA ออกจาก Autrorised Substances ในRegulation 10/2011 และยกเลิก Regulation 2018/213 ที่อนุญาตให้ใช้สารเคลือบ (Varnishes and Coating) ด้วย
แต่ทำไมต้องแก้ไข Regulation 1895/2005
ในการเกิดสารอีพอกซีมาจากปฏิกิริยาของ BPA กับ Epichorohydrin ตามสมการข้างล่าง ซึ่งเดิมใน Regulation 1895/2005 ยอมให้มี สาร BADGE ซึ่งเหลือตกค้างในการทำปฏิกิริยาของ BPA กับ Epichlorohydrin คือ BADGE, BADGE.H2O, BADGE.2H2O 9 Mg/Kg และ BADGE, BADGE.CL, BADGE.2HCLไม่เกิน 9 Mg/6 Dm2 ในอาหารหรือสารละลายตัวแทนอาหาร (Food Simulant) ทั้งนี้เนื่องมาจาก BPA ใช้เป็นสารตั้งต้นในการเกิด BADGE และอนุพันธ์ซึ่งใช้ในสารเคลือบที่มีอีพอกซี แต่ให้แก้ไขใน Commission Regulation (EC) No.1895/2005 เป็น BADGE และอนุพันธ์ใช้ในการผลิตสารเคลือบที่ใช้ซ้ำและใช้สำหรับแท็งก์ ถังโลหะขนาดใหญ่ที่ความจุมากกว่า 250 ลิตร และท่อที่ใช้ในกระบวนการผลิต การเก็บ การลำเลียงอาหาร เช่น ไวน์ เบียร์ น้ำมัน ผลิตภัณฑ์นม และธัญพืชต่าง ๆ EU จึงยอมให้ใช้สาร BADGE และอนุพันธ์ เพื่อใช้ผลิตสารเคลือบในแทงค์น้ำขนาดใหญ่กว่า 250 ลิตร แต่ไม่ใช้เคลือบกระป๋องบรรจุอาหาร
เกลือ Disodium ของสาร BPA ใช้กับ Monomer 4, 4’Dichloro Diphenyl Sulfone ที่ได้รับการอนุญาตแล้วและเกิดปฏิกิริยา Condensation เป็นพลาสติกชนิดโพลิซัลโฟนเรซิน (Polysulfone Resin) ใช้ในการเตรียมอาหารได้หลายชนิด ใช้เป็น Separation Membrane หรือใช้กรองน้ำ ใช้ช่วยพลาสติกเมมเบรน ในผลิตภัณฑ์นมและทำให้น้ำผลไม้เข้มข้น นำแอลกอฮอล์ออกจากไวน์และเบียร์ และทำให้น้ำตาลบริสุทธิ์ ซึ่งในกระบวนการผลิตต้องมั่นใจว่ามีสาร BPA ตกค้างน้อยมาก เนื่องจากอาหารต่าง ๆ ต้องผลิตตามกระบวนการผลิตตามสุขลักษณะที่ดี (Good Manufacturing Practice) และมีการสัมผัสเมมเบรนที่ใช้โพลิซัลโฟนเรซินในเวลาสั้น เพื่อให้มั่นใจว่าผู้บริโภคมีความปลอดภัย
Draft Regulation ดังกล่าวฯ คณะกรรมการของสหภาพยุโรปได้เวียนประเทศสมาชิกใน EU ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ และได้รับการยอมรับแล้ว วันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 2024 ซึ่งมีแผนจะนำมาใช้ในไตรมาสแรกของ ค.ศ. 2024 ซึ่งมีข้อกำหนดในการเปลี่ยนผ่าน 18 เดือนสำหรับวัสดุและสิ่งของสัมผัสอาหารที่ทำจากพลาสติก กาว Ion-Exchange Resin ยาง
และมีข้อกำหนดในการเปลี่ยนผ่าน 36 เดือนสำหรับวัสดุและสิ่งของสัมผัสอาหารต่อไปนี้
ก. วัสดุที่ใช้สัมผัสอาหารที่ใช้ครั้งเดียวสำหรับอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตประเภท ผัก ผลไม้ และผลิตภัณฑ์ปลา
ข. วัสดุที่ใช้สัมผัสอาหารที่เป็นโลหะภายนอก
ค. วัสดุที่ใช้สัมผัสอาหารที่ใช้ซ้ำและเป็นส่วนของเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต
ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ต้องปรากฏใน Declaration of Document พร้อมทั้งเอกสารสนับสนุนที่มีรายละเอียดตามมาตรา 16 ของ Regulation 1935/2004
บทความของวารสารบรรจุภัณฑ์ไทยไม่ได้มีเพียงเท่านี้ พวกเรายังมีเรื่องราวที่น่าสนใจให้ติดตามในเล่มอีกเพียบ อ่านต่อกันได้ที่ >> E-BOOK #165