• Skip to main content
  • Skip to secondary menu
  • Skip to primary sidebar
  • Skip to footer
Thai Pack Magazine

Thai Pack Magazine

Thai Pack Magazine

  • Home
  • Activity
    • News
    • Events
  • Articles
    • Articles
    • Intrend
    • Focus
    • Special Scoop
    • Special Area
    • เรื่องเล่าคนทำกล่อง
  • E-Book
  • E-Directory
  • About Us
  • Advertise
  • Contact Us

ถามจริง ตอบจัง เรื่องที่ 19: กล่องกระดาษบรรจุอาหาร ที่ปลอดภัยและรักษ์โลก

August 5, 2024 by Chatticha

โดย
อาจารย์มยุรี ภาคลำเจียก

เรื่องที่ 19: กล่องกระดาษบรรจุอาหาร ที่ปลอดภัยและรักษ์โลก

ผู้ถาม: สวัสดีครับ ผมมีร้านอาหารที่ขายอาหารที่เน้นคุณภาพ ทั้งด้านสุขภาพและรสชาติ ขายดีทีเดียว มีคนมาติดต่อเพื่อจะไปขายแบบ Food Delivery สำหรับให้บริการผู้โดยสารในรถทัวร์ระดับพรีเมียม ผมสนใจแต่ไม่ทราบว่าจะใช้กล่องแบบไหน และควรมีคุณสมบัติอย่างไรจึงจะเหมาะสม

ผู้ตอบ: คุณสมบัติที่ต้องการของกล่องบรรจุอาหารแบบ Food Delivery มีดังนี้

1. ปลอดภัยในการสัมผัสอาหาร โดยต้องผ่านกฎระเบียบของประเทศที่จำหน่ายสินค้า หากใช้กล่องพลาสติก ต้องเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 435 พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นกฎหมายบังคับ หากใช้กล่องกระดาษ (ไม่ว่ากระดาษจะเคลือบผิวหรือไม่ก็ตาม) ควรมีข้อกำหนดตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.2948-2563 ซึ่งในปัจจุบันเป็นมาตรฐานแนะนำ จะประกาศเป็นมาตรฐานบังคับในเร็ว ๆ นี้ ในกรณีส่งออกหรือใช้ในการบริการอาหารบนครื่องบินของต่างประเทศ ส่วนใหญ่ยึดตามกฎระเบียบเรื่องวัสดุสัมผัสอาหารของสหภาพยุโรป คือ EU10/2011
2. ไม่ดูดซึมน้ำและน้ำมันของอาหาร กล่องพลาสติกให้คุณสมบัติข้อนี้ได้ แต่กล่องกระดาษจะดูดน้ำและน้ำมัน ทำให้กล่องนิ่มและเสียรูป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการเคลือบผิวในกระดาษด้วยพลาสติกหรือด้วยสารเคลือบเฉพาะ
3. หากบรรจุอาหารในขณะร้อนที่อุณหภูมิ 80-90 องศาเซลเซียส กล่องต้องทนต่อความร้อนดังกล่าวได้ โดยไม่เกิดการเคลื่อนย้ายของสารบางชนิดของวัสดุเข้าไปในอาหาร อันจะก่ออันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค
4. หากต้องการอุ่นอาหารให้ร้อนในเตาไมโครเวฟ กล่องต้องทนอุณหภูมิในการอุ่นได้ไม่ต่ำกว่า 100 องศาเซลเซียส ถ้าใช้กล่องพลาสติกต้องมีข้อกำหนดตาม มอก.2493-2556 ซึ่งเป็นมาตรฐานบังคับ ถ้าใช้กล่องกระดาษเคลือบ ต้องเลือกชนิดของพลาสติกหรือสารเคลือบที่ทนต่อความร้อนดังกล่าวได้
5. กล่องที่บรรจุอาหารและปิดฝาแล้ว ต้องไม่รั่ว มีความคงรูปพอเหมาะ ไม่เสียรูปง่าย กล่องควรวางซ้อนได้ เพื่อให้ความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่ง
6. เปิดได้ง่าย ปิดใหม่ได้ในกรณีที่บริโภคอาหารไม่หมดในครั้งเดียวและต้องการเก็บไว้ทานต่อ
7. ราคากล่องพร้อมฝาควรเหมาะสม ไม่สูงเกินไป หาซื้อได้ง่าย และมีคุณภาพสม่ำเสมอ
8. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กล่องที่ใช้แล้วสามารถรีไซเคิลได้ในเชิงการค้า หรือย่อยสลายได้ทางชีวภาพ

    ในปัจจุบันกล่องอาหารสำหรับ Food Delivery ได้รับความนิยมสูงมาก วัสดุที่นิยมทำกล่องคือ พลาสติก และกระดาษ ดังตัวอย่างในรูป ต่างก็มีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน ผู้ใช้ต้องเลือกให้เป็นและพิจารณาคุณสมบัติรอบด้าน

    ผู้ถาม: ผมสนใจกล่องกระดาษประเภท Plastic Zero ช่วยอธิบายว่าคือกล่องอะไรและเหมาะสมไหม?

    ผู้ตอบ: กล่องกระดาษประเภท Plastic Zero ซึ่งอาจารย์ขอเรียกว่า “กล่องกระดาษไร้พลาสติก” หมายถึงกล่องกระดาษที่ผิวในไม่ได้เคลือบพลาสติก แต่เคลือบด้วยสารเคลือบเฉพาะเพื่อป้องกันการดูดน้ำและน้ำมันของอาหาร คำถามว่าเหมาะสมหรือไม่ ต้องพิจารณาว่ากล่องประเภทนี้ได้คุณสมบัติตามที่กล่าวไว้ข้างต้นหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อแรก “ด้านความปลอดภัยในการสัมผัสอาหาร” ซึ่งสำคัญที่สุด อันเกี่ยวข้องกับการเลือกชนิดของกระดาษ สารเคลือบ และหมึกพิมพ์ สรุปให้สั้น ๆ ดังนี้

    • กระดาษ ต้องผลิตจากเยื่อบริสุทธิ์ ไม่มีเยื่อเศษกระดาษที่อาจมีสาร Mineral Oil Saturated Hydrocarbon (MOSH) ที่ตกค้างอยู่ในหมึกพิมพ์ สารนี้สามารถเคลื่อนย้ายเข้าสู่อาหารได้หากสัมผัสอาหาร เป็นสาเหตุก่อมะเร็งได้ นอกจากนี้ในกระบวนการผลิตกระดาษต้องไม่ใช้สารฟอกขาวและสารเรืองแสง (Optical Brightening Agent) ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นที่สังเกตว่าผู้ผลิตกล่องรายใหญ่ในประเทศที่ผลิตกล่องกระดาษบรรจุอาหารเพื่อส่งออกได้เลือกซื้อกระดาษจากแหล่งที่มีการรับรองความปลอดภัยในการสัมผัสอาหารตามกฎระเบียบของ EU10/2011 เพื่อสร้างความเชื่อถือให้ลูกค้า
    • สารเคลือบ มีความจำเป็นต้องใช้เพื่อป้องกันกระดาษดูดน้ำและน้ำมันของอาหาร สารเคลือบที่ปลอดภัยต้องผ่านกฎระเบียบวัสดุสัมผัสอาหารของประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นกัน ในปัจจุบันมีผู้ผลิตสารเคลือบที่เป็นฐานน้ำ (Water-Based Coating Materials) ที่ผ่านกฎระเบียบดังกล่าว อีกทั้งมีเกรดเฉพาะที่ป้องกันไอน้ำและก๊าซออกซิเจนได้ด้วย (แม้ว่าจะได้ไม่ดีเท่ากับการเคลือบด้วยพลาสติกก็ตาม) สิ่งสำคัญที่อาจารย์ขอเน้นคือ ไม่ใช้สารเคลือบ PFAS (Polyfluoroalkyl Substances) ซึ่งสามารถปนเปื้อนกับอาหารและสะสมในร่างกายซึ่งเป็นต้นเหตุของหลายโรค เช่น มะเร็ง โรคตับ ภูมิแพ้ เป็นต้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ สหภาพยุโรปได้รายงานว่าตรวจพบ PFAS ในปริมาณสูงในถาด/ถ้วย/หลอดดูด ที่ทำด้วยกระดาษ สหภาพยุโรปกำลังอยู่ในขั้นตอนความเข้มงวดในการควบคุมปริมาณสาร PFAS กับกระดาษสัมผัสอาหาร ในปัจจุบันมีประเทศเดนมาร์กที่มีกฎหมายห้ามการใช้ PFAS กับภาชนะและบรรจุภัณฑ์ทุกชนิดสำหรับอาหาร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ปะเทศสหรัฐอเมริกาได้ประกาศห้ามใช้สารนี้กับภาชนะและบรรจุภัณฑ์อาหาร โดยให้เวลาผ่อนผัน 1 ปี บ้านเรายังไม่มีกฎหมายนี้
    • หมึกพิมพ์ แม้ว่ากล่องประเภทนี้มักมีการพิมพ์ที่ผิวนอกเพื่อสื่อสาร แต่ก็มีโอกาสที่หมึกพิมพ์จะปนเปื้อนกับอาหารที่บรรจุ ดังนั้นผู้ผลิตกล่องจึงควรเลือกใช้หมึกพิมพ์เกรดสูง (เช่น ไม่มีโลหะหนัก) และซื้อจากบริษัทใหญ่ที่มีเทคโนโลยีและมีการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด

    จากที่กล่าวมานี้ส่งผลให้กล่องกระดาษไร้พลาสติกที่ปลอดภัยในการสัมผัสอาหารมีราคาสูงกว่ากล่องประเภทอื่นๆ

    ผู้ถาม: เรื่องความปลอดภัยเป็นความรู้ใหม่ที่ผมไม่ทราบมาก่อนเลย กล่องกระดาษไร้พลาสติกและกล่องกระดาษเคลือบพลาสติกจัดว่ารักษ์โลกใช่ไหมครับ เพราะผมสังเกตว่าหลายประเทศในสหภาพยุโรปนิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง แต่ทำไมประเทศไทยไม่นิยมใช้ครับ

    ผู้ตอบ: ในด้านรักษ์โลกหรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการกล่องหลังบริโภคอาหารหมดแล้ว ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ นอกจากนี้ยังควรพิจารณาในด้านแหล่งของวัตถุดิบและราคาด้วย เพราะเป็นต้นทุนที่ผู้ใช้กล่องให้ความสำคัญไม่น้อย

    หลายประเทศในยุโรปนิยมใช้กล่องกระดาษไร้พลาสติกและกล่องกระดาษเคลือบพลาสติกบรรจุอาหาร เพราะ

    1. อุตสาหกรรมกระดาษมีความก้าวหน้ามาก มีวัตถุดิบสำหรับการผลิตเยื่อกระดาษในเกรดสัมผัสอาหาร
    2. มีโรงงานที่ทันสมัยในการผลิตสารเคลือบเกรดสัมผัสอาหาร
    3. กล่องที่ใช้แล้วสามารถรีไซเคิลได้ โรงงานรีไซเคิลกระดาษใช้เทคโนโลยีสูงที่สามารถแยกพลาสติกออกจากกระดาษได้
    4. มีระบบการจัดการกับบรรจุภัณฑ์ทุกชนิดที่ใช้แล้วอย่างถูกวิธี เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ที่สำคัญคือ ประชาชนส่วนใหญ่มีความตระหนักและร่วมมือในการแยกขยะตามชนิดที่ต้นทาง

    จากที่อาจารย์ได้ไปดูงานด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยุโรปเมื่อกลางปีที่แล้ว สังเกตว่าแนวโน้มกล่องกระดาษที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นคือ กล่องกระดาษที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการรีไซเคิลกระดาษ ได้แก่ กล่อง 2 ประเภท ต่อไปนี้


    ที่มา: Henkel

    1. กล่องกระดาษไร้พลาสติก สารเคลือบที่ใช้มีความปลอดภัยและใช้งานได้ที่อุณหภูมิสูงถึง 140 องศาเซลเซียส อุ่นร้อนในเตาไมโครเวฟได้ เช่น สารเคลือบของบริษัท BASF และ Henkel


    ที่มา: Continental Packaging

    ในประเทศไทย มีบริษัทชั้นนำรายหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการผลิตกล่องประเภทนี้ สามารถส่งออกไปยุโรปและขายให้สายการบินหลายสายสำหรับบริการอาหารบนเครื่องบิน โดยการนำเข้ากระดาษและสารเคลือบที่มีความปลอดภัยจากต่างประเทศ

    2. กล่องกระดาษที่บุผิวในด้วยฟิล์มพลาสติก (Paperboard Lined With Plastic Film) สามารถลอกฟิล์มออกได้ง่ายหลังบริโภคอาหารในกล่องหมดแล้ว กระดาษที่ลอกฟิล์มออกแล้วจะไม่เลอะอาหาร นำไปทิ้งรวมกับกระดาษอื่น ๆ เพื่อรีไซเคิลได้ กล่องประเภทนี้เหมาะกับอาหารเปียกชื้นที่แช่เย็นหรือแช่แข็ง ซึ่งต้องการคุณสมบัติในการป้องกันน้ำได้ดีกว่าการเคลือบด้วยสารเคลือบที่กล่าวมา

    ในประเทศไทย เมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัทรายหนึ่งได้ออกตลาดผลิตภัณฑ์ “ผักโขมอบชีสแช่เย็น” โดยใช้กล่องกระดาษประเภทนี้ เป็นที่น่าเสียดายว่า เมื่อบริโภคอาหารแล้ว ผู้บริโภคไม่ลอกฟิล์มที่บุผิวในออก แต่นำกล่องไปทิ้งรวมกับเศษอาหารเหมือนกล่องกระดาษบรรจุอาหารทั่วไป จึงไม่เกิดประโยชน์ในด้านรีไซเคิลกระดาษ

    คำถามต่อมา “ทำไมประเทศไทยไม่นิยมใช้กล่องกระดาษไร้พลาสติกและกล่องกระดาษเคลือบพลาสติกที่ปลอดภัยในการสัมผัสอาหาร?” อาจารย์คิดว่าสาเหตุมาจาก

    ด้านวัตถุดิบและต้นทุน: ในปัจจุบันประเทศไทยไม่มีโรงงานผลิตกระดาษเกรดสัมผัสอาหารอย่างแท้จริง ผู้ผลิตกล่องกระดาษที่เน้นความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นกล่องไร้พลาสติกหรือกล่องเคลือบพลาสติก ต้องนำเข้ากระดาษที่ได้รับการรับรองว่าผ่าน EU10/2011 เนื่องจากต้นทุนกล่องประมาณ 70% มาจากค่ากระดาษ ดังนั้นกล่องกระดาษที่ได้คุณภาพความปลอดภัยจึงมีราคาสูง

    การผลิตกล่องกระดาษไร้พลาสติก สารเคลือบฐานน้ำเกรดสัมผัสอาหารต้องนำเข้าจากต่างประเทศเช่นกัน ราคากล่องจะสูงขี้นไปอีก ถ้าเป็นกล่องกระดาษเคลือบพลาสติก เช่น เช่น PE, PP, PET พลาสติกเหล่านี้ล้วนแต่ผลิตในประเทศ ต้นทุนของกล่องเคลือบพลาสติกจะต่ำกว่ากล่องไร้พลาสติก

    ด้านเทคโนโลยีรีไซเคิลกระดาษ: กล่องกระดาษเคลือบพลาสติกไม่สามารถรีไซเคิลได้ในประเทศ เนื่องจากโรงงานยังไม่มีการลงทุนเทคโนโลยีที่สามารถแยกพลาสติกออกจากกระดาษ ซาเล้งจึงไม่รับซื้อกระดาษเคลือบพลาสติก เพราะขายต่อไม่ได้ ทำให้กระดาษเคลือบพลาสติกกลายเป็นขยะที่มักนำไปฝังกลบปนกับขยะเศษอาหาร ในขณะที่ขยะกระดาษเน่าเปื่อยจะเกิดก๊าซมีเทนที่เป็นอันตรายมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า เป็นผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่คนส่วนใหญ่มักไม่ทราบ การแยกขยะกระดาษออกจากหลุมฝังกลบเป็นสิ่งไม่ควรมองข้าม สำหรับกล่องกระดาษไร้พลาสติก มีจุดเด่นตรงที่สามารถรีไซเคิลได้ และน่าจะเหมาะสมกับโรงงานรีไซเคิลในบ้านเรา แต่ติดที่ราคาสูง จึงไม่มีการผลิตใช้ในประเทศ แต่มีผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้นดังที่กล่าวแล้ว

    ผู้ถาม: อาจารย์อธิบายได้ชัดเจนครับ ทำให้ผมทราบว่าการเลือกใช้กล่องบรรจุอาหารแบบ Food Delivery มีปัจจัยหลายอย่างต้องพิจารณา ผมเห็นด้วยว่าต้นทุนกล่องเป็นปัจจัยที่สำคัญกับธุรกิจ ผมขอถามเพิ่มเติมว่า “ถ้าผมใช้กล่องพลาสติกสำหรับลูกค้าในประเทศ จะดีไหมครับ”

    ผู้ตอบ: กล่องพลาสติกเป็นทางเลือกที่ดี เพราะราคาต่ำกว่ากล่องกระดาษ เนื่องจากใช้วัตถุดิบในประเทศ มีผู้ผลิตกล่องมากมายเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานที่ผ่านประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 435 พลาสติกที่ใช้ทำกล่องมีหลายชนิดซึ่งมีคุณสมบัติต่างกัน สรุปให้ในตารางต่อไปนี้

    พลาสติกที่อาจารย์แนะนำคือ PP (Polypropylene) มีทั้งกล่องที่ไม่ใส่สีที่ค่อนข้างใส สีขาว สีดำ และสีแดง ทนอุณหภูมิได้ถึง 110 องศาเซลเซียส จึงบรรจุอาหารร้อนจัดได้ อุ่นร้อนในเตาไมโครเวฟได้ ทนความเย็นและแช่แข็งได้ และรีไซเคิลได้ ราคาซื้อขายกล่องที่ใช้แล้วแบบใสและสีขาวอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าแบบสีอื่น ๆ เพราะรีไซเคิลได้ง่ายกว่า กล่อง PP ที่นิยมใช้ส่วนใหญ่มีแม่แบบ (Mold) อยู่แล้วไม่ต้องลงทุนค่าแม่แบบใหม่ มีทั้งแบบช่องเดียวและหลายช่อง ฝาปิดกับตัวกล่องได้แน่น อาหารเหลวไม่หกในระหว่างการจัดส่ง สะดวกในการเปิดและปิดใหม่ ราคาไม่สูงนัก และหาซื้อได้ง่าย ตัวอย่างดังรูป

    ตารางต่อไปนี้เป็นการเปรียบเทียบสมบัติในด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาตรฐานความปลอดภัยในการสัมผัสอาหาร และข้อสังเกตอื่น ๆ ระหว่างวัสดุต่าง ๆ ที่นิยมใช้ทำกล่องอาหารในบ้านเรา

    สรุปว่าการเลือกใช้วัสดุทำกล่องอาหาร ต้องให้ความสำคัญในด้านความปลอดภัย ไม่ดูดน้ำและน้ำมันของอาหาร ราคาไม่สูงเกินไป และรีไซเคิลได้เพื่อเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    ผู้ถาม: ผมเห็นด้วยว่าการรีไซเคิลกล่องอาหารจะตอบโจทย์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่จะสำเร็จได้อย่างไร เพราะผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ยังไม่แยกขยะ อาจารย์คิดเห็นอย่างไรครับ

    ผู้ตอบ: ต้องมีการรณรงค์ให้ความรู้และสื่อสารให้ผู้บริโภคมีจิตสำนึกและร่วมมือในการแยกขยะที่ต้นทาง โดยการนำเศษอาหารที่หลงเหลือในกล่องออกให้หมด ล้าง ทำให้แห้ง แล้วแยกทิ้งตามชนิดของวัสดุ เพื่อรวบรวมสู่กระบวนการรีไซเคิล อันช่วยลดขยะ ลดก๊าซพิษ ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน ความสำเร็จในเรื่องนี้ไม่ง่ายเลย ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รัฐบาล องค์กรท้องถิ่น หน่วยงานเอกชน ประชาชน สถาบันการศึกษา และสื่อมวลชน รวมทั้งจำเป็นต้องมีกฎหมาย EPR (Expanded Producer Responsibility) รองรับ เพื่อผลักดันให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

    ผู้ถาม: EPR คืออะไรครับ

    ผู้ตอบ: EPR เป็นหลักการทางนโยบายที่ขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตไปยังช่วงต่าง ๆ ของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นการรับคืน การรีไซเคิล และการกำจัดซากผลิตภัณฑ์ เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ กล่าวคือ มีการร่วมรับผิดชอบในการจ่ายค่าธรรมเนียมจัดการผลิตภัณฑ์ เพื่อนำไปใช้ในการเรียกคืนซากผลิตภัณฑ์/ขยะบรรจุภัณฑ์ เพื่อนำกลับไปใช้ซ้ำหรือนำไปรีไซเคิล และการบำบัดกำจัดอย่างปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม

    ในปัจจุบันได้มีการใช้กฎหมาย EPR แล้วในหลายประเทศ แต่ละประเทศมีรายละเอียดของกฎหมายแตกต่างกันตามสภาวะและความสามารถในการจัดการขยะ สำหรับประเทศไทยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดทำร่างกฎหมาย EPR ซึ่งได้ร่างเสร็จแล้วและได้นำเสนอให้กรมควบคุมมลพิษเพื่อพิจารณา มีแผนว่าจะประกาศใช้ใน พ.ศ. 2570 แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นกับนโยบายของรัฐบาล

    ผู้ถาม: ขอบคุณอาจารย์มากสำหรับความรู้และคำตอบที่ชัดเจน มีประโยชน์มากครับ

    บทความของวารสารบรรจุภัณฑ์ไทยไม่ได้มีเพียงเท่านี้ พวกเรายังมีเรื่องราวที่น่าสนใจให้ติดตามในเล่มอีกเพียบ อ่านต่อกันได้ที่ >> E-BOOK #165

    facebookShare on Facebook
    TwitterTweet

    Filed Under: Articles Tagged With: กล่องอาหาร, Expanded Producer Responsibility, กล่องกระดาษ, กล่องกระดาษเคลือบพลาสติก, EPR, กล่องกระดาษไร้พลาสติก, Polypropylene, Food Delivery, กระดาษ, อาหาร, food, กล่องพลาสติก, Plastic, กล่องกระดาษบรรจุอาหาร, บรรจุภัณฑ์, food packaging

    Primary Sidebar

    New E-Book

    THAI PACKAGING NEWSLETTER #171 May-June 2025

    THAI PACKAGING NEWSLETTER #170 March-April 2025

    THAI PACKAGING NEWSLETTER #169 January-February 2025

    • Facebook

    ADVERTISING

    Footer

    Exclusive Clients

    Recent

    • BGC โชว์กำไร Q1/2025 โตแรง 168% รับแรงหนุนต้นทุนพลังงานลด เร่งเดินหน้าแผนเติบโตอย่างยั่งยืน June 12, 2025
    • เปิดฉากยิ่งใหญ่งาน “ProPak Asia 2025 ดันดีลธุรกิจทะลุ 5.5 พันล้านบาท” June 12, 2025
    • กรมวิทย์ฯ บริการล่องใต้ เร่งยกระดับ “ภาชนะกาบหมาก” ผลักดันผลิตภัณฑ์วัสดุจากธรรมชาติของไทยสู่ตลาดโลกอย่างมั่นคง June 10, 2025
    • SCGP เดินหน้ากลยุทธ์เติบโตในอาเซียน เสริมศักยภาพบรรจุภัณฑ์ สำหรับอุปโภคบริโภคแบบครบวงจร ในประเทศเวียดนาม June 10, 2025
    • “พิชัย” ปลื้มความสำเร็จ “THAIFEX – ANUGA ASIA 2025” สร้างสถิติใหม่!ผู้เข้างานทะลุ 1.42 แสนคน สร้างมูลค่าการค้าพุ่งกว่า 1.35 แสนล้านบาท June 4, 2025
    • เอสไอจีสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำความเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบในการหาวัตถุดิบมาใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ June 2, 2025
    • เร่งเครื่องการค้าไร้พรมแดน: เปิดเวที ‘Asia DigiCommerce Services Expo 2025’ เชื่อมโลกดิจิทัล สร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ May 30, 2025

    Search

    TECHNOLOGY MEDIA CO.,LTD.

    471/3-4 Phayathai Place, Sri-Ayutthaya Road, Tung Phayathai Ratchatewi, Bangkok 10400

    Tel. 0-2354-5333, 0-2644-4555

    thaipackaging.mkt@gmail.com

    Copyright © 2025 · Magazine Pro on Genesis Framework · WordPress · Log in