
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สาขาวิชาเทคโนโลยีการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนเทคโนโลยี จัดงานสัมมนาหัวข้อ “Carbon Trade & Sustainable Packaging โอกาสใหม่ในโลกอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์” ภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร. ธนธร ทองสัมฤทธิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี กล่าวเปิดงาน และ ผศ.ดร.ธิดารัตน์ บุญศรี จาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี บรรยายในหัวข้อ “การค้าคาร์บอนกับโอกาสและความท้าทายของอุตสาหกรรมยุคใหม่” อาจารย์มยุรี ภาคลำเจียก ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ บรรยายหัวข้อ “แนวทางออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” และธวัชชัย อาทรกิจ จาก บริษัท บางกอกบลู โอเชี่ยน จำกัด บรรยายหัวข้อ “พลิกโฉมบรรจุภัณฑ์ยุคดิจิทัลด้วย 3D Printing” ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

ผศ.ดร.ธิดารัตน์ บุญศรี กล่าวว่า ในอดีตเราคิดว่าเทคโนโลยีการพิมพ์ได้เปลี่ยนโลกไปแล้ว แต่ปัจจุบันโลกต้องเปลี่ยนเทคโนโลยีการพิมพ์ ปี ค.ศ. 1480 แท่นพิมพ์กูเตนเบิร์กสร้างขึ้นโดยชาวเยอรมัน เคยเปลี่ยนโลกไปหนึ่งครั้ง ตอนนั้นผู้คนตื่นรู้จะมีองค์ความรู้ใหม่ ภายหลังมีเครื่องพิมพ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น การทำงานของเครื่องพิมพ์จะเป็นเหมือนการอัดวัสดุ นำวัสดุทำเป็นเส้นและขึ้นรูป และพัฒนาสู่การพิมพ์ได้ละเอียดขึ้น ต่อมาเทคโนโลยีการพิมพ์แบบสามมิติได้เป็นที่พูดถึง ในอนาคตเราอาจไม่ได้ใช้เงินเป็นแบงก์ อาจเป็นเงินดิจิทัล แต่ทั้งนี้การพิมพ์อาจไม่ได้หมดไปจากโลกนี้ มีการปรับเปลี่ยนไปเกิด 3D Printer เกิดคำว่าคาร์บอนเครดิตขึ้นมารองรับเทคโนโลยี AI
ปัจจุบันเราเน้นการพิมพ์แบบ 3D Printer หนังสือส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบอีบุ๊ค ข้อดีคือ ข้อมูลการเรียนการสอนอัปเดต การพัฒนาเทคโนโลยีทำให้เกิดธุรกิจใหม่ ลดทรัพยากร หนังสือขายไม่ได้ เกิดขยะ ตอนนี้พรินต์เท่าจำเป็น มีบริษัทต่างชาติให้เช่าพรินต์เตอร์ 3D Printer เปลี่ยนจาก 2 มิติมาเป็น 3 มิติ เป็นสิ่งที่จับต้องหรือใช้งานได้จริง
เทคโนโลยี 3D Printer เวลาทำต้นแบบ 3 มิติ จะเห็นได้ชัด 3D Printer สามารถทำงานได้เร็วขึ้น ตอบสนองการพัฒนาเทคโนโลยีอื่น ๆ ทำงานทดลองอื่น ๆ ได้ ทดสอบและได้ผลรวดเร็วขึ้น เวลาใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มจะประมวลผลเร็วมาก ข้อมูลต่าง ๆ เป็นตัวสำคัญให้เราเรียนรู้เทร็นด์ของโลกในอนาคต มีเรื่องคาร์บอนเครดิตเกี่ยวข้องกับการพิมพ์ตั้งแต่วันแรกของการใช้กระดาษ และการปลูกป่าได้เข้ามาช่วยในเรื่องการพิมพ์ 3D Printer ในอนาคตวัสดุที่ใช้จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมี 3D Printer ที่เป็นพลาสติกย่อยสลายได้ในการช่วยสิ่งแวดล้อม เวลาจะผลิตสินค้าหรือเป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษที่ได้มามีคาร์บอนเครดิตที่ได้มา การตัดต้นไม้ต้นหนึ่งจะเสียคาร์บอนเครดิต ถ้าปลูกป่าจะช่วยดูดซับคาร์บอนได้
ปัจจุบันเวลาคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์จะมีโปรแกรมคำนวณ ทุก ๆ กิโลเมตรมีการปล่อยคาร์บอนเท่าไร ในเรื่องการขนส่งใช้พลังงานเท่าไร กิจกรรมที่เกิดกระบวนการคิดรวมเป็นโปรดักต์ ลงทุนปลูกป่าเพื่อให้มีกระดาษสำหรับพิมพ์ เป็นกิจกรรมที่ลดคาร์บอนเครดิตได้อีกทางหนึ่ง
การที่เราจะขับเคลื่อนเทคโนโลยีได้สำเร็จจึงไม่ได้ขับเคลื่อนให้ธุรกิจสำเร็จอย่างเดียว เราจะทำอย่างไรให้การใช้ทรัพยากร มีเพียงพอ ให้คนรุ่นหลังอยู่ได้ เปลี่ยนจากเทคโนโลยีการพิมพ์ 2 มิติ เป็น 3 มิติ ถ้าคนยังไม่หยุดหาความรู้ ธุรกิจ 3D Printer ก็จะยังมีอยู่ต่อไป โดย 3D Printer ยังสามารถทำประการังเทียมได้ด้วย เหมาะที่จะให้สาหร่ายและทะเลเจริญเติบโต โดยทุกๆ 1 ตารางเมตรสามารถดูดซับคาร์บอนได้ 2 ตันต่อปี
ขณะที่แนวโน้มในการคำนวณคาร์บอนเครดิต ถ้าเราผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ตัวเลขพลังงานจะลดลง สุดท้ายไม่ว่าเราจะทำการศึกษาอีกสิบปี มนุษย์ก็ต้องมีการลดคาร์บอนต่อไป โดยราคาคาร์บอนเครดิตคิดเป็น 200 บาท ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่ว่าจะเป็น ซองขนม กระดาษห่อขนม คิดต่อชิ้น เวลาเราเก็บขยะเอาไปทำเชื้อเพลิง สับและอัดเป็นก้อน เอาเชื้อเพลิงไปขายได้คาร์บอนเครดิตกลับมา ได้พลังงานกลับมา ได้ขยะมาปีหนึ่งก็ยี่สิบกิโลกรัมนำไปขายเป็นคาร์บอนเครดิตและรีเทิร์นกลับไปให้ลูกค้าเรา เราต้องพยายามทำให้คนในสังคมได้ประโยชน์จากการปล่อยคาร์บอนให้มากที่สุด

อาจารย์มยุรี ภาคลำเจียก กล่าวว่า คำว่า Sustainability เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมทุกอย่างที่เราทำ ใช้วันนี้ให้นึงถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน อย่าใช้จนหมด นึกถึงรุ่นต่อไป Sustainability ต้องไม่ใช่เรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่เรายังมี 1.โลก 2. ผู้บริโภค 3. บรรจุภัณฑ์ ที่เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน ผู้บริโภคต้องการของที่มีคุณภาพ การทำธุรกิจจึงจะต้องมีเรื่อง Sustainability เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยลดกระทบผลสิ่งแวดล้อมทั้งที่แพคเกจจิ้งก็ยังสามารถคงอยู่ได้
การทำให้บรรจุภัณฑ์นั้นยั่งยืน อาทิ แก้ว กระดาษ โลหะ พลาสติก ถ้าเป็นบรรจุภัณฑ์อาหารฟังก์ชั่นต้องมีความปลอดภัย นำคาร์บอนฟุตพรินต์มาดูจะใช้อะไร ลดน้ำหนัก ลดความหนา เอาอะไรบางตัวออกได้บ้าง เพื่อเป็นการลดพลังงานในการขนส่ง หรือใช้ซ้ำได้ก็ต้องมีกระบวนการจัดเก็บใช้ซ้ำเป็นการลดคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างหนึ่ง ใช้วัสดุที่มีส่วนผสมรีไซเคิลใส่ตัวรีไซเคิลลงไปช่วยลดคาร์บอนได้มหาศาล ส่วนเรื่องการพิมพ์ เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิต จะต้องมีระบบการจัดการขยะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ในส่วนถุงพลาสติกถือว่าเป็นรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้คาร์บอนต่ำ ขวด Polyethylene Terephthalate หรือ PET ราคาต่ำ ส่วนขวดแก้วมีราคาสูง การถนอมอาหาร การรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์คาร์บอนจะลดลง กระดาษ กระป๋อง แก้ว พลาสติก ผู้ผลิตต้องดูว่า รีไซเคิลได้ไหม อย่างแก้วใสไม่มีสีช่วยลดพลังงานได้ สิ่งที่ตามมาคือคาร์บอนต่ำ กระป๋องอันหนึ่งมีการใช้ PET เคลือบ ข้อดี ลดน้ำหนัก ลดพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ไม่ใช่ทุกโรงงานที่ทำได้ ส่วนการรีไซเคิลกระดาษก็ต้องไปดูว่าต้นตอเยื่อกระดาษมาจากไหน มาจากแหล่งที่ไม่ได้ทำลายป่า กระดาษที่มีสีขาว เทา น้ำตาล ตรงกลางด้านในเป็นเศษกระดาษ คาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำ อาทิ คิดแคท เนสกาแฟ ชั้นตรงกลางจะเป็นสีเทา เป็นการลดขนาดกล่องเพื่อรักษ์โลก เพื่อลดคาร์บอน
ทั้งนี้ ถ้าเป็นขวดที่ลดน้ำหนักได้จำเป็นต้องเปลี่ยนดีไซน์ เปลี่ยนวิธีการผลิต อย่างถ้วยไอศกรีมน้ำหนักลดไปอีก 20% ขวดน้ำมันพืชก็ลดน้ำหนัก โดยการเปลี่ยนดีไซน์การผลิตจะช่วยลดน้ำหนักได้ และเทคโนโลยีการผลิตมีส่วนสำคัญ ที่ญี่ปุ่น บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มเบาที่สุดในโลกก็ใช้เทคโนโลยีในการลดน้ำหนัก และไม่มีปัญหาต่อการบรรจุ ติดฉลาก การโลจิสติกส์ การบริโภค ควบคู่กับการไม่ทำให้ฟังก์ชันลดลง
ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ต้องมีการติดตามเทคโนโลยีอยู่เสมอ จะมีซัพพรายเออร์ที่ลงทุนในเทคโนโลยี และเซอร์วิสให้ทัน รวมถึงออกแบบได้ถูกต้อง และ Brand Owner ต้องร่วมมือกับซัพพรายเออร์ สื่อสารให้ลูกค้ารู้ว่าบรรจุภัณฑ์ดีอย่างไร เริ่มที่การออกแบบ วัสดุเป็นอย่างไร คงรูปหรือไม่ สื่อสารได้ดีไหม เรื่องโลว์คาร์บอน Brand Owner กับ Value Chain ต้องไปด้วยกัน ถึงจะทำให้ความยั่งยืนของเราไปด้วยกันได้อย่างแท้จริง

ด้าน ธวัชชัย อาทรกิจ บริษัท บางกอกบลู โอเชี่ยน จำกัด กล่าวถึงเรื่องการออกแบบและการทำ Prototype ปัจจุบันบรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติกมีเยอะมาก จะมีบางส่วนที่ทำ Prototype 3D Print นำมาใช้งานได้จริง ส่วนใหญ่ที่เจอในเรื่องแพคเกตจิ้ง ประเทศไทย มีหลายผลิตภัณฑ์ในตลาด แต่แนวโน้มจะอยู่ที่ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มค่อนข้างเยอะ
ต่อมาการเลือกใช้วัสดุให้เข้ากับระบบการพิมพ์ก็เป็นเรื่องสำคัญ อย่างการใช้เรซิ่นที่เป็นไนล่อนเหนียว จะมีความแข็งแรงสูง แต่ราคาเครื่องสูงอยู่ ปัจจุบันมีตามแลป แต่ตามมหาวิทยาลัยยังไม่ค่อยมีใช้ ระบบต่อมา คือ Stereolithography หรือ SLA เป็นระบบแบบเลเซอร์ยิงบนของเหลว พอของเหลวแข็งแล้วก็จะขึ้นเป็นชิ้นงาน เป็นเทคโนโลยีพรินต์ในยุคแรก ๆ ข้อดี คืออยู่ได้นาน มีวัสดุได้อยู่หลากหลาย มีความคงทน เราสามารถทำการเคลือบผิวเพื่อไม่ให้ออกซิเจนเข้าไปสัมผัส วัสดุย่อยสลายได้ก็จะอยู่ได้นาน
การสร้างประสบการณ์ให้ผู้ใช้ใหม่ๆ จะเหมือนกับเป๊ปซี่ที่เป็นน้ำสีฟ้า ๆ ทำมาช่วงเดียวสั้น ๆ ลักษณะเดียวกันกับ 3D Print ได้ประโยชน์นำไปเทสทดลองสร้างได้ในตลาด ถูกพูดถึงและจ้างโฆษณาไปในตัว อย่างลอรีอัลก็ทดลองทำชิ้นงานหลาย ๆ ชิ้น นอกจากนี้พอทำ 3D Print เห็นตำหนิ สั่งแก้ได้ทัน วิธีการพรินต์ คือ นำโลหะไปเคลือบบนผิวพลาสติก ทำเป็นกรณีศึกษาแล้วให้ลูกค้าเลือกซื้อ Process แบบอื่นไม่สามารถทำได้ ทำให้โปรดักต์มีความพรีเมียมขึ้นไป ทำแต่งผิว แล้วก็ทดลองประกอบ ส่วนใหญ่ใช้กันเยอะที่ทำกันอยู่ออกแบบในกระดาษ ใช้ 3D Print แล้วทำการประกอบ ใช้แสงที่มีวัสดุที่หลากหลาย มีทั้งวัสดุนิ่ม วัสดุที่แข็งแรงสูง นอกจากงานแพ็คเกจจิ้งงานวิศวกรรมก็ใช้กันแพร่หลาย ส่วนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นขยะ 3D Print ก็เอามารีไซเคิล ทำเป็นน้ำมัน ทำเป็นไบโอชาขึ้นมา กระบวนการทำเป็นเส้น แล้วใช้ 3D Print ทำเป็นโปรดักต์ออกมา อันนี้ก็เป็นแนวโน้มของการผลิตพลาสติก
อย่างไรก็ตาม การเลือกระบบการพิมพ์บนบรรจุภัณฑ์ก็ขึ้นอยู่กับวัสดุในการใช้และการ Prototype ผลิตโปรดักต์ มีแนวทาง การทำการตลาดชัดเจน หากเป็นการเทสตลาดก่อนก็อาจนำระบบ 3D Print มาใช้ได้ เป็นไปได้ว่าเทคโนโลยีการพิมพ์จะพัฒนาขึ้นอีกเรื่อย ๆ และยังคงอยู่กับเราไปอีกนาน สอดรับกับยุคดิจิทัลทรานฟอร์มที่ทุกอย่างเป็นการนำดิจิทัลมาใช้แทบจะทั้งหมดอุตสาหกรรม แต่การนำมาใช้แล้วต้องทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นด้วยการลดคาร์บอนเครดิต นำวัสดุที่ใช้แล้วไปคืนกำไรให้กับโลก อาจจะอยู่ในรูปแบบของการรียูส และปลูกป่าหมุนเวียนใช้ซ้ำ การเลือกวัสดุสำหรับผลิตผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ง่าย เพราะผู้บริโภคก็เริ่มมองเห็นความจำเป็นและมีรสนิยมเปลี่ยนไปตามเทรนด์การผลิตบรรจุภัณฑ์โลว์คาร์บอนของโลก

